นิทานทั่วไป

เรื่อง "เจ้าหญิงจันทรากับพญานาคผู้พิทักษ์"
เจ้าหญิงจันทรากับพญานาคผู้พิทักษ์
นานมาแล้ว ณ แคว้นพายัพอันอุดมสมบูรณ์ มีเมืองหนึ่งนามว่า "เวียงแก้ว" ปกครองโดยพระราชาผู้ทรงธรรมและพระมเหสีผู้ใจดี ทั้งสองพระองค์มีพระธิดาผู้เลอโฉมราวกับดวงเดือนนามว่า "เจ้าหญิงจันทรา" ด้วยพระสิริโฉมงดงามราวเทพธิดา และพระทัยที่อ่อนโยน ทำให้เจ้าหญิงเป็นที่รักยิ่งของชาวเมืองทุกคน
เวียงแก้วตั้งอยู่ริมแม่น้ำใหญ่ที่ไหลมาจากเทือกเขาสูง สายน้ำนี้มิได้เป็นเพียงเส้นเลือดหลักของเมือง แต่ยังเป็นที่เล่าลือกันว่าเป็นที่สถิตของ "พญานาคราช" ผู้ยิ่งใหญ่ นามว่า "ภุชงค์" ท่านเป็นผู้ดูแลความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำและปกป้องคุ้มครองเวียงแก้วมาเนิ่นนานโดยที่ไม่มีใครเคยเห็นตัวจริง
วันหนึ่ง เกิดอาเพศร้ายขึ้น เวียงแก้วต้องประสบกับภัยแล้งอย่างแสนสาหัส แม่น้ำเหือดแห้ง พืชพันธุ์ธัญญาหารไม่ออกดอกออกผล ผู้คนล้มป่วยล้มตาย สร้างความทุกข์ระทมไปทั่วแผ่นดิน พระราชาและพระมเหสีทรงวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง ทรงพยายามทุกวิถีทาง แต่ก็มิอาจแก้ไขสถานการณ์ได้
เจ้าหญิงจันทราทรงเห็นความทุกข์ของประชาชน จึงตัดสินพระทัยออกเดินทางตามหาวิธีแก้ไขเพียงลำพัง พระองค์เดินเท้าไปตามลำน้ำที่แห้งขอด จนกระทั่งมาถึงถ้ำลึกลับแห่งหนึ่งที่ร่ำลือกันว่าเป็นที่อยู่ของพญานาคราช ด้วยพระทัยที่มุ่งมั่น เจ้าหญิงก้าวเข้าไปในถ้ำ และก็ได้พบกับบุรุษหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งกำลังนอนซมอยู่ บุรุษผู้นั้นมีผิวกายขาวผ่องราวไข่มุก และมีเครื่องประดับรูปเกล็ดนาคติดกาย
"ท่านคือใครหรือเจ้าคะ" เจ้าหญิงตรัสถามด้วยความแปลกใจ
บุรุษหนุ่มค่อยๆ ลืมตาขึ้น และเอ่ยตอบด้วยเสียงแผ่วเบา "ข้าคือภุชงค์...พญานาคราชแห่งแม่น้ำนี้"
เจ้าหญิงจันทราทรงตกพระทัย แต่ก็ทรงรวบรวมสติถามถึงสาเหตุของภัยแล้ง ภุชงค์เล่าว่า ตนถูกมนต์ดำที่ชั่วร้ายสะกดไว้ ทำให้พลังแห่งสายน้ำเหือดหายไป และหนทางเดียวที่จะถอนมนต์ได้คือการได้รับ "น้ำตาแห่งความบริสุทธิ์" จากมนุษย์ผู้มีใจเมตตา
เจ้าหญิงจันทราทรงไม่รีรอ ทรงหลั่งน้ำตาแห่งความสงสารและความมุ่งมั่นที่จะช่วยชีวิตพญานาคราช และช่วยเวียงแก้วให้พ้นภัย น้ำตาที่บริสุทธิ์ของเจ้าหญิงหยดลงบนกายของภุชงค์ ทันใดนั้น ร่างของภุชงค์ก็เปล่งแสงเจิดจ้า มนต์ดำที่สะกดไว้พลันสลายไป ร่างของบุรุษหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นพญานาคราชตัวมหึมา เลื้อยออกมาจากถ้ำ พร้อมกับเสียงคำรามกึกก้องฟ้า
เมื่อภุชงค์กลับคืนสู่ร่างเดิม พลังแห่งสายน้ำก็กลับคืนมาทันที แม่น้ำที่เคยแห้งขอดพลันเอ่อล้นด้วยน้ำใสสะอาด ผืนป่ากลับมาเขียวขจีอีกครั้ง เวียงแก้วพ้นจากภัยแล้งอย่างปาฏิหาริย์ ชาวเมืองต่างแซ่ซ้องสรรเสริญในความกล้าหาญและน้ำพระทัยของเจ้าหญิงจันทรา
นับแต่นั้นมา พญานาคราชภุชงค์ก็ได้ปรากฏกายในรูปบุรุษหนุ่มและคอยปกป้องดูแลเจ้าหญิงจันทราและเวียงแก้วอย่างใกล้ชิด ความผูกพันระหว่างเจ้าหญิงผู้บริสุทธิ์กับพญานาคผู้ยิ่งใหญ่ได้ก่อตัวขึ้นเป็นความรักอันงดงาม ทั้งสองครองคู่กันอย่างมีความสุข และเวียงแก้วก็เจริญรุ่งเรืองสืบไป


ตาอินกับตานา
นานมาแล้ว ณ หมู่บ้านชายป่าอันเงียบสงบ มีชายชราสองคนเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่หนุ่ม นามว่า ตาอิน กับ ตานา ตาอินมีนิสัยใจดี โอบอ้อมอารี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ส่วนตานานั้นเป็นคนขยันขันแข็ง ทำมาหากินเก่ง แต่ก็ค่อนข้างจะตระหนี่และคิดถึงผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก
วันหนึ่ง ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินกลับจากตลาด พวกเขาก็พบกับ นกกระสาตัวหนึ่ง ตกจากรัง ขาหัก บินไม่ได้ ตาอินเห็นเข้าก็สงสารจับใจ จึงค่อยๆ ประคองนกตัวนั้นขึ้นมา หวังจะนำกลับไปรักษาที่บ้าน ตานาเห็นดังนั้นก็ร้องห้าม
"เจ้าอินเอ๊ย จะเอานกพิการไปทำอะไรให้เปลืองข้าวสุกเปล่าๆ ปล่อยมันไปเถอะ ให้มันเป็นอาหารของสัตว์อื่นเสียยังจะดีกว่า" ตานาพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
แต่ตาอินก็ไม่ฟัง เขายืนกรานที่จะช่วยเหลือนกตัวนั้น จนตานาได้แต่ส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย
ตาอินนำนกกระสากลับมาที่บ้าน คอยดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำ จนกระทั่งนกกระสาหายดีและบินได้อีกครั้ง ก่อนจากไป นกกระสาได้คาบ เมล็ดฟักทองวิเศษ มามอบให้ตาอินเป็นสิ่งตอบแทน
"ท่านตาผู้ใจดี ขอให้ท่านนำเมล็ดนี้ไปปลูก แล้วท่านจะได้พบกับความสุข" นกกระสากล่าวด้วยเสียงใสก่อนจะบินลับหายไปในท้องฟ้า
ตาอินนำเมล็ดฟักทองไปปลูกไว้ข้างบ้าน ไม่นานนัก ต้นฟักทองก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ออกผลใหญ่โตผิดปกติ เมื่อผ่าผลฟักทองออกดูก็พบว่าภายในเต็มไปด้วย ทองคำและเพชรพลอย ระยิบระยับ ตาอินดีใจมาก เขานำทรัพย์สมบัติเหล่านั้นไปแบ่งปันให้แก่เพื่อนบ้านที่ยากไร้ และนำไปสร้างสาธารณประโยชน์ให้กับหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านอยู่ดีกินดีกันถ้วนหน้า
ข่าวเรื่องฟักทองวิเศษของตาอินแพร่สะพัดไปถึงหูตานา ตานารู้สึกอิจฉาตาอินเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าถ้าตนเองช่วยนกกระสาตัวนั้นก็คงได้ฟักทองวิเศษเช่นกัน ด้วยความโลภ ตานาจึงออกไปตามหานกกระสาจนพบ และแกล้งทำให้นกกระสาขาหัก จากนั้นก็นำกลับมารักษาที่บ้านอย่างไม่เต็มใจ เพราะหวังผลตอบแทน
เมื่อนกกระสาหายดี มันก็คาบเมล็ดฟักทองมาให้ตานาเช่นกัน ตานาดีใจยิ่งนัก เขารีบนำเมล็ดนั้นไปปลูกอย่างเร่งรีบ ต้นฟักทองก็ออกผลใหญ่โตเช่นเดียวกับของตาอิน ตานารีบผ่าผลฟักทองด้วยความตื่นเต้น แต่สิ่งที่ปรากฏออกมาหาใช่ทองคำและเพชรพลอยไม่ กลับเป็น ฝูงผึ้งตัวต่อ นับร้อยนับพันที่บินกรูออกมาต่อยตานาจนได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส
ตานาต้องวิ่งหนีฝูงผึ้งตัวต่อแทบไม่ทัน เขาเจ็บปวดทรมานและเสียใจเป็นอย่างมากที่ได้รับผลกรรมจากการกระทำอันไม่ซื่อสัตย์ของตนเอง ตั้งแต่นั้นมา ตานาก็กลับตัวกลับใจเป็นคนดี ไม่มีความโลภ และหันมาช่วยเหลือผู้อื่นเหมือนตาอิน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การกระทำดีด้วยใจบริสุทธิ์ย่อมนำมาซึ่งผลดีเสมอ ส่วนการกระทำที่หวังเพียงผลตอบแทนด้วยความโลภนั้น ย่อมนำมาซึ่งความเดือดร้อนในภายหลัง



พ่อค้ากับหม้อวิเศษ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากป่าใหญ่ มี พ่อค้าคนหนึ่ง นามว่า นายทองดี เขาเป็นคนขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์สุจริต และมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ แม้ว่าฐานะของเขาจะไม่ร่ำรวยนัก แต่เขาก็มีความสุขกับชีวิตที่พอเพียง
วันหนึ่ง ขณะที่นายทองดีกำลังเดินทางไปค้าขายในเมือง เขาเดินลัดเลาะไปตามทางเปลี่ยวในป่าลึก และได้พบกับ ชายชราผู้หนึ่ง สภาพผอมโซ เนื้อตัวมอมแมม นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ข้างทาง นายทองดีเห็นดังนั้นก็เกิดความสงสาร จึงเข้าไปสอบถาม
"ท่านลุงเป็นอะไรไปหรือขอรับ ไฉนจึงมานั่งอยู่กลางป่าเช่นนี้" นายทองดีถามด้วยความเป็นห่วง
ชายชราเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาอ่อนล้า "พ่อหนุ่มเอ๋ย ข้าหลงป่ามาหลายวันแล้ว ทั้งหิวโหยและเหนื่อยอ่อน ไม่มีเรี่ยวแรงจะไปต่อแล้ว"
นายทองดีไม่รีรอ เขาเปิดห่อข้าวที่เตรียมมาแบ่งให้ชายชรากินจนอิ่มหนำ จากนั้นก็พาชายชรากลับมาพักที่บ้านของตนเอง ดูแลป้อนน้ำป้อนข้าวอย่างดีจนชายชรามีเรี่ยวแรงกลับคืนมา
เมื่อชายชราหายดีแล้ว ก่อนจะจากไป เขาได้มอบ หม้อดินเผาใบหนึ่ง ให้กับนายทองดี
"ขอบใจพ่อหนุ่มมากที่ช่วยเหลือข้าไว้ หม้อใบนี้เป็นหม้อวิเศษ ไม่ว่าเจ้าอยากได้สิ่งใด ขอเพียงเอ่ยปากออกไป หม้อใบนี้ก็จะเนรมิตสิ่งนั้นให้เจ้า แต่จงจำไว้ว่า อย่าได้โลภมาก และจงใช้มันเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม" ชายชรากล่าวทิ้งท้ายก่อนจะหายตัวไปอย่างลึกลับราวกับเป็นเทวดาแปลงกายมา
นายทองดีนำหม้อวิเศษกลับมาที่บ้าน ตอนแรกเขาก็ไม่เชื่อเท่าไหร่ แต่ด้วยความอยากลอง เขาจึงเอ่ยออกไปว่า "โอ้ หม้อวิเศษเอ๋ย ข้าอยากได้ข้าวสารสักถัง" พริบตาเดียว ข้าวสารเต็มถังก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาจริงๆ
นายทองดีตกตะลึง แต่เขาก็ไม่หลงระเริงไปกับอำนาจวิเศษของหม้อ เขานึกถึงคำเตือนของชายชรา เขาจึงเริ่มใช้หม้อวิเศษเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากไร้ ใครไม่มีข้าวสารเขาก็เนรมิตข้าวสารให้ ใครไม่มีเสื้อผ้าเขาก็เนรมิตเสื้อผ้าให้ ใครเจ็บป่วยเขาก็เนรมิตยาสมุนไพรให้
ไม่นานนัก ข่าวเรื่องหม้อวิเศษของนายทองดีก็แพร่สะพัดไปทั่ว นายทองดีกลายเป็นที่เคารพรักของชาวบ้านทุกคน หมู่บ้านแห่งนั้นก็เจริญรุ่งเรืองขึ้น ผู้คนอยู่ดีกินดี ไม่มีความอดอยากอีกต่อไป
แต่แล้ว ความโลภ ก็เริ่มคืบคลานเข้ามา นายอำเภอผู้ปกครองหมู่บ้านซึ่งเป็นคนเห็นแก่ตัว ได้ยินข่าวเรื่องหม้อวิเศษ จึงคิดอยากได้มาเป็นของตนเอง เขาเดินทางมาที่บ้านนายทองดี และพยายามจะแย่งชิงหม้อวิเศษไป
นายทองดีไม่ยอม เขาพยายามอธิบายว่าหม้อนี้เป็นของวิเศษที่ใช้เพื่อช่วยเหลือผู้คน แต่ นายอำเภอไม่สนใจ เขาสั่งให้ทหารเข้าจับกุมนายทองดี และแย่งชิงหม้อวิเศษไปได้สำเร็จ
เมื่อนายอำเภอได้หม้อวิเศษมาอยู่ในมือ เขาก็เริ่มใช้มันเพื่อประโยชน์ส่วนตน เนรมิตทองคำ เพชรพลอย อาหารเลิศรส และสิ่งของมีค่าต่างๆ มากมาย จนบ้านเรือนของเขาล้นทะลักไปด้วยสมบัติ แต่เขากลับไม่แบ่งปันสิ่งใดให้ชาวบ้านเลย
วันหนึ่ง นายอำเภอนึกอยากได้สิ่งที่ไม่เคยมีใครมีมาก่อน เขาจึงเอ่ยกับหม้อวิเศษว่า "ข้าอยากได้กองทัพทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก มาเป็นบริวารของข้า"
ทันใดนั้น เสียงครืนครั่นกึกก้องก็ดังขึ้นจากในหม้อ แทนที่จะเป็นกองทัพทหาร กลับกลายเป็น กองทัพยุงและริ้นไร จำนวนมหาศาล บินกรูออกมาจากหม้อ พุ่งเข้าโจมตีนายอำเภอและทหารของเขา นายอำเภอและพวกต้องวิ่งหนีกันอย่างอลหม่าน แต่ก็ไม่พ้นจากฝูงยุงและริ้นไรที่ตามจิกกัดจนร่างกายบวมเป่ง ทนความเจ็บปวดไม่ไหว
ในที่สุด นายอำเภอก็ต้องยอมแพ้และคืนหม้อวิเศษให้นายทองดี จากนั้นเขาก็สารภาพผิดและกลับตัวกลับใจเป็นคนดี ตั้งแต่นั้นมา หม้อวิเศษก็ได้กลับมาอยู่ในมือของผู้ที่คู่ควร และนายทองดีก็ใช้มันเพื่อประโยชน์สุขของชาวบ้านสืบไป


พรวิเศษจากเทวดา
ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่โอบล้อมด้วยขุนเขาเขียวขจี มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ คำมั่น เขาเป็นคนยากจน แต่มีจิตใจดีงาม ขยันทำมาหากิน และมีความกตัญญูต่อมารดาผู้ชรามาก
วันหนึ่ง คำมั่นเข้าไปในป่าเพื่อหาฟืนและของป่ามาขาย ระหว่างทางเขาได้ยินเสียงครวญครางแผ่วเบา เมื่อเดินตามเสียงไป เขาก็พบกับ พญางูจงอางตัวหนึ่ง นอนบาดเจ็บอยู่บนพื้น ลำตัวมีรอยช้ำและเกล็ดหลุดลุ่ย
คำมั่นไม่รอช้า เขารีบเข้าไปช่วยเหลือพญางู ใช้ผ้าที่ติดตัวมาซับเลือดและพันแผลให้ จากนั้นก็หาใบไม้สมุนไพรมาบดแล้วทาให้พญางูอย่างเบามือ เขาเฝ้าดูแลพญางูอยู่หลายวัน จนกระทั่งพญางูจงอางหายดีและกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
เมื่อพญางูจะจากไป มันได้เลื้อยขึ้นมาบนไหล่ของคำมั่น และกระซิบด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า "เจ้าคำมั่นเอ๋ย เจ้าเป็นคนมีเมตตามาก ข้าจะตอบแทนบุญคุณเจ้า จงจำไว้ว่า ถ้าเจ้าเดือดร้อนสิ่งใด ให้ไปที่ต้นไทรใหญ่กลางป่า แล้วเอ่ยชื่อข้า นาคราชดำ ข้าจะออกมาช่วยเจ้า" กล่าวจบ พญางูจงอางก็เลื้อยลับหายไปในพงหญ้า
คำมั่นยังคงใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องพญางูให้ใครฟัง เพราะคิดว่าคงเป็นแค่ความฝันไป แต่แล้ววันหนึ่ง มารดาของคำมั่นก็ล้มป่วยหนัก ด้วยโรคประหลาดที่หมอชาวบ้านก็ไม่อาจรักษาได้ คำมั่นเป็นทุกข์ใจอย่างยิ่ง เพราะไม่มีเงินทองจะพามารดาไปรักษากับหมอใหญ่ในเมือง
ในยามคับขันเช่นนั้น คำมั่นก็นึกถึงคำพูดของพญางูจงอาง เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปยังต้นไทรใหญ่กลางป่าตามที่พญางูบอก เมื่อไปถึง เขาก็พนมมือและเอ่ยชื่อ "นาคราชดำ...นาคราชดำ..."
ทันใดนั้น ผืนป่าก็สั่นสะเทือน ต้นไทรใหญ่แยกออก และปรากฏกายของ เทวดาองค์หนึ่ง ที่มีรัศมีสว่างไสว เปล่งประกายงดงาม เทวดาองค์นั้นมีลักษณะสง่างามและน่าเกรงขามยิ่งนัก
"เจ้าคำมั่นเอ๋ย ข้าคือเทวดาผู้พิทักษ์ป่าแห่งนี้ และข้าก็คือพญางูจงอางที่เจ้าเคยช่วยชีวิตไว้" เทวดาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวาน "ด้วยความดีงามและเมตตาของเจ้า ข้าจะให้พรแก่เจ้าหนึ่งข้อ เจ้าอยากได้อะไร จงเอ่ยมาเถิด"
คำมั่นไม่ลังเล เขาไม่ได้ขอเงินทองหรือสมบัติมากมาย แต่ขอเพียงสิ่งเดียว "ข้าขอพรให้มารดาของข้าหายจากโรคภัยไข้เจ็บ กลับมามีสุขภาพแข็งแรงดังเดิมเถิดขอรับ"
เทวดาพยักหน้าเล็กน้อย แล้วใช้มือลูบศีรษะของคำมั่น "ความปรารถนาของเจ้าบริสุทธิ์ยิ่งนัก เมื่อเจ้ากลับไปถึงบ้าน มารดาของเจ้าจะหายป่วยเป็นปกติ"
คำมั่นก้มลงกราบขอบพระคุณเทวดา แล้วรีบวิ่งกลับบ้านด้วยความดีใจ เมื่อไปถึง เขาก็พบว่ามารดาที่เคยซูบผอมนอนซมอยู่ กลับลุกขึ้นนั่งได้อย่างปรกติ ใบหน้าสดใสไร้ซึ่งความเจ็บป่วยใดๆ
ตั้งแต่นั้นมา คำมั่นและมารดาก็มีความสุข ความดีงามของคำมั่นทำให้ชีวิตของเขามีแต่ความเจริญรุ่งเรือง เขายังคงใช้ชีวิตด้วยความพอเพียง มีเมตตาและช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ และไม่เคยลืมบุญคุณของพญางูจงอาง หรือเทวดาผู้เมตตาเลย

ป้ามากับลุงไป กับแกงหน่อไม้พิสดาร
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมทุ่งนาเขียวขจี มีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในความแปลกประหลาดของพวกเขา ฝ่ายภรรยาชื่อ ป้ามา รูปร่างท้วม ชอบพูดจาเสียงดัง ฟังชัด และมักจะมีเรื่องเหลือเชื่อมาเล่าให้ชาวบ้านฟังอยู่เสมอ ส่วนฝ่ายสามีชื่อ ลุงไป เป็นชายชราผอมแห้ง เงียบขรึม ไม่ค่อยพูดจา และมักจะเดินตามป้ามาต้อยๆ ราวกับเงาตามตัว
วันหนึ่ง ป้ามาเกิดอยากกิน แกงหน่อไม้ ขึ้นมาอย่างแรง ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ฤดูของหน่อไม้เลยสักนิด
"ลุงไปเอ๊ย! ไปหาหน่อไม้มาให้ป้าแกงหน่อยซี ป้าอยากกินใจจะขาดแล้ว" ป้ามาสั่งเสียงดังลั่น
ลุงไปได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ "โธ่ป้ามาเอ๊ย นี่มันไม่ใช่หน้าหน่อไม้นะป้า จะไปหาจากไหนมาได้เล่า"
"ไม่ได้หรอก! ป้าอยากกิน ป้าก็ต้องได้กิน! ไป๊! ไปหามาให้ได้ ไม่ได้ก็ไม่ต้องกลับมา!" ป้ามาออกคำสั่งเสียงเข้ม พร้อมกับเท้าสะเอว
ลุงไปผู้แสนดีจำต้องเดินเข้าป่าไปอย่างจำใจ เขานึกในใจว่าป้ามาคงจะบ้าไปแล้วจริงจัง ที่ไหนจะมีหน่อไม้นอกฤดู แต่ด้วยความกลัวเมีย (และกลัวไม่ได้กลับบ้าน) ลุงไปก็เดินหาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินลึกเข้าไปในป่าที่ไม่เคยไปถึง
ขณะที่ลุงไปกำลังจะถอดใจ เขาก็เหลือบไปเห็น ต้นไผ่ประหลาดต้นหนึ่ง ที่มีหน่อไม้ขนาดใหญ่งอกออกมามากมาย ลุงไปตาโตเท่าไข่ห่าน ไม่รอช้า เขารีบขุดหน่อไม้กลับบ้านทันที
เมื่อลุงไปกลับมาถึงบ้านพร้อมหน่อไม้กองใหญ่ ป้ามาก็ดีใจเนื้อเต้น รีบนำหน่อไม้ไปแกงทันที กลิ่นแกงหน่อไม้หอมฟุ้งไปทั่วบ้านจนชาวบ้านข้างเคียงได้กลิ่นพากันสงสัย เพราะไม่เคยได้กลิ่นแกงหน่อไม้ในฤดูนี้
ป้ามากับลุงไปนั่งล้อมวงกินแกงหน่อไม้กันอย่างเอร็ดอร่อย แต่แล้วจู่ๆ เมื่อป้ามาเคี้ยวหน่อไม้คำหนึ่ง หน้าตาก็เปลี่ยนไปทันที
"แฮ่! ลุงไป! แกงหน่อไม้นี่มันรสชาติแปลกๆ นะลุง" ป้ามาพูดพลางถูท้องป้อยๆ
"แปลกยังไงป้า ก็อร่อยดีออก" ลุงไปตอบอย่างไม่ยี่หระ
ไม่นานนัก หลังจากกินแกงหน่อไม้เข้าไป ทั้งป้ามาและลุงไปก็เริ่มมีอาการแปลกๆ ป้ามาเริ่มพูดจาไม่เป็นภาษา ตัวเองก็ขยับแขนขาไปมาเหมือนจะรำ ลุงไปเองก็เริ่มมีอาการตัวสั่นเทิ้ม พูดติดอ่าง และชอบกระโดดโลดเต้นอยู่ไม่สุข
ชาวบ้านที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากบ้านป้ามากับลุงไปก็พากันมาดู เมื่อเห็นสภาพของทั้งสองคนก็ตกใจ ต่างพากันเรียกหมอผีมาช่วย
หมอผีเมื่อมาถึง ก็ตรวจดูอาการของป้ามากับลุงไป และเห็นเศษแกงหน่อไม้ที่เหลืออยู่จึงลองชิมดูบ้าง ทันใดนั้น หมอผีก็มีอาการแปลกๆ ตามไปด้วย ตัวสั่นสะท้าน ตาเหลือก และเริ่มหัวเราะคิกคักไม่หยุด
สุดท้าย ชาวบ้านจึงได้รู้ความจริงว่า หน่อไม้ที่ลุงไปเก็บมานั้น แท้จริงแล้วคือ "หน่อไม้เมา" ที่ขึ้นในป่าลึก มันมีฤทธิ์ทำให้ผู้ที่กินเข้าไปมีอาการประหลาดๆ คล้ายคนเมามาย
หลังจากที่ฤทธิ์หน่อไม้เมาคลายลง ทั้งป้ามา ลุงไป และหมอผีก็กลับมาเป็นปกติ ทุกคนต่างหัวเราะกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ป้ามาถึงกับหน้าแดงด้วยความอายที่ไม่เชื่อลุงไปตั้งแต่แรก ตั้งแต่นั้นมา ป้ามาก็ไม่เคยอยากกินแกงหน่อไม้นอกฤดูอีกเลย ส่วนลุงไปก็สบายใจที่ไม่ต้องเข้าป่าไปหาของแปลกๆ ให้ป้ามาอีก


กระต่ายเจ้าปัญญาช่วยพญาราชสีห์
นานมาแล้ว ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่งที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณธัญญาหารและสัตว์ป่านานาชนิด มี พญาราชสีห์ ผู้สง่างามเป็นเจ้าป่า ทุกวันพญาราชสีห์จะออกล่าเหยื่อเพื่อประทังชีวิต และด้วยความแข็งแกร่งของมัน ทำให้สัตว์ทั้งหลายต่างเกรงกลัว
วันหนึ่ง พญาราชสีห์ล่าเหยื่อจนอิ่มหนำ จึงนอนพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ด้วยความประมาท มันได้เหยียบย่างไปบน รังผึ้ง ที่ซ่อนอยู่ใต้พุ่มไม้ ฝูงผึ้งแตกรัง กรูเข้ามารุมต่อยพญาราชสีห์อย่างบ้าคลั่ง พญาราชสีห์วิ่งหนีด้วยความเจ็บปวดและทรมาน พยายามสลัดผึ้งออกเท่าไรก็ไม่หลุด จนร่างกายบวมเป่งและแทบจะหมดสติ
สัตว์ต่างๆ ในป่าเห็นพญาราชสีห์ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ก็พากันหลบหนี ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยเหลือเลยสักตัว เพราะต่างก็กลัวอารมณ์ดุร้ายของพญาราชสีห์
มีเพียง กระต่ายป่าตัวหนึ่ง ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด นามว่า เจ้าหูตั้ง เมื่อเห็นพญาราชสีห์กำลังจะสิ้นใจด้วยพิษผึ้ง เจ้าหูตั้งก็เกิดความสงสาร มันตัดสินใจเข้าไปช่วยเหลือพญาราชสีห์ แม้จะรู้ว่าเสี่ยงอันตรายก็ตาม
เจ้าหูตั้งกระโดดเข้าไปใกล้ๆ พญาราชสีห์ที่กำลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด
"นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ โปรดอดทนไว้ก่อนเถิด กระผมจะช่วยนายท่านเอง" เจ้าหูตั้งกล่าวด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว
พญาราชสีห์ที่เจ็บปวดจนลืมตาแทบไม่ขึ้น ได้ยินเสียงกระต่ายก็รู้สึกแปลกใจและหงุดหงิด แต่มันก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะขับไล่
เจ้าหูตั้งไม่รอช้า มันรีบวิ่งไปหา โคลน ที่อยู่ริมลำธาร แล้วใช้ปากคาบโคลนมาพอกตามตัวของพญาราชสีห์อย่างรวดเร็ว โคลนเย็นๆ ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากพิษผึ้ง และยังช่วยให้ผึ้งที่เกาะอยู่หลุดออกไปได้
เมื่อผึ้งหลุดออกไปจนหมดแล้ว เจ้าหูตั้งก็รีบวิ่งไปเด็ด ใบไม้สมุนไพร ที่มีสรรพคุณถอนพิษ และช่วยลดอาการบวม นำมาบดแล้วทาให้ทั่วตัวของพญาราชสีห์
ไม่นานนัก พิษผึ้งก็เริ่มบรรเทาลง อาการบวมของพญาราชสีห์ก็ลดลง พญาราชสีห์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น และมองไปยังกระต่ายตัวเล็กๆ ที่กำลังนั่งหอบอยู่ข้างๆ ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ
"เจ้า...เจ้าเป็นใครกัน ไฉนจึงมาช่วยข้า" พญาราชสีห์ถามด้วยเสียงแหบพร่า
"ข้าคือเจ้าหูตั้ง นายท่าน" กระต่ายตอบ "ข้าเห็นนายท่านเดือดร้อน จึงอยากช่วยเหลือเท่าที่ปัญญาของข้าจะทำได้"
พญาราชสีห์รู้สึกละอายใจ ที่ผ่านมามันเคยดูถูกสัตว์ตัวเล็กๆ และมักจะใช้กำลังข่มเหงผู้อื่น แต่ในยามคับขัน กลับเป็นกระต่ายตัวเล็กๆ ที่ช่วยเหลือมันไว้
"เจ้าหูตั้งเอ๋ย เจ้าเป็นสัตว์ตัวเล็กแต่มีปัญญายิ่งนัก และมีน้ำใจอันประเสริฐ นับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าคือสหายของข้า หากเจ้าเดือดร้อนสิ่งใด ขอเพียงเอ่ยปาก ข้าจะตอบแทนบุญคุณเจ้าอย่างเต็มที่" พญาราชสีห์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนผิดจากปกติ
ตั้งแต่นั้นมา เจ้าหูตั้งก็กลายเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของพญาราชสีห์ และพญาราชสีห์ก็เลิกนิสัยดุร้าย กลับกลายเป็นเจ้าป่าผู้ยุติธรรมและเมตตา สัตว์ทั้งหลายในป่าจึงอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

พรวิเศษจากพญานาค: ตำนานรักสองฝั่งโขง
นานมาแล้ว ณ ดินแดนสองฟากฝั่งแม่น้ำโขงอันกว้างใหญ่ ฝั่งหนึ่งเป็นอาณาจักรที่ราบสูงอันแห้งแล้ง ปกครองโดยพระราชาผู้เคร่งขรึมและมีพระธิดาผู้งดงามนามว่า เจ้าหญิงรุ้งฟ้า ผู้มีรูปโฉมงดงามราวกับนางฟ้า และมีจิตใจที่อ่อนโยนเป็นที่รักของอาณาประชาราษฎร์ แต่อาณาจักรของพระองค์ต้องประสบกับภัยแล้งหนักหนาสาหัส ผู้คนอดอยากแสนสาหัส
อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ เป็นดินแดนใต้บาดาลอันเร้นลับ ที่ประทับของเหล่าพญานาคทั้งหลาย ปกครองโดย พญาอนันตนาคราช ผู้ทรงอานุภาพและมีพระโอรสรูปงามนามว่า เจ้าชายมณีภพ ผู้มีฤทธิ์เดชเหนือกว่าพญานาคทั้งปวง และมักจะแปลงกายเป็นมนุษย์ขึ้นมายังโลกมนุษย์เพื่อสำรวจความเป็นไป
ด้วยความทุกข์ระทมของชาวเมือง เจ้าหญิงรุ้งฟ้าจึงตัดสินใจออกเดินทางเพื่อเสาะหาวิธีแก้ไขภัยแล้ง พระองค์เดินทางไปตามลำน้ำโขงที่เหือดแห้ง ด้วยความหวังว่าจะพบทางออกให้แก่ประชาชนของพระองค์
ในระหว่างการเดินทาง เจ้าหญิงได้พบกับชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนสลบอยู่ริมตลิ่ง เขาคือเจ้าชายมณีภพที่แปลงกายเป็นมนุษย์และขึ้นมาสำรวจโลกมนุษย์จนเหน็ดเหนื่อย เมื่อเห็นเจ้าชาย เจ้าหญิงก็ทรงเมตตา จึงรินน้ำจากกระบอกไม้ไผ่ที่เหลือเพียงน้อยนิดให้เจ้าชายดื่ม และคอยพัดวีให้จนเจ้าชายฟื้นคืนสติ
เมื่อเจ้าชายมณีภพฟื้นขึ้นมา ก็รู้สึกประหลาดใจและซาบซึ้งในน้ำพระทัยของเจ้าหญิงรุ้งฟ้าเป็นอย่างมาก ทั้งสองจึงได้พูดคุยกัน และเจ้าหญิงก็เล่าถึงความทุกข์ยากที่อาณาจักรของพระองค์กำลังเผชิญอยู่
ด้วยความรักและความเมตตาที่ก่อเกิดขึ้นในใจ เจ้าชายมณีภพจึงเปิดเผยความจริงว่าตนคือโอรสแห่งพญานาคราช และจะช่วยเหลือเจ้าหญิงให้พ้นจากภัยแล้ง โดยมีข้อแม้ว่าเจ้าหญิงจะต้องทรงยอมอภิเษกสมรสกับพระองค์ และเป็นราชินีแห่งเมืองบาดาล
เจ้าหญิงรุ้งฟ้าทรงตกใจเป็นอย่างมากที่รู้ว่าชายหนุ่มรูปงามคือพญานาค แต่เมื่อนึกถึงความทุกข์ของประชาชน พระองค์ก็ทรงตัดสินใจยอมรับข้อเสนอ
เจ้าชายมณีภพพากลับเจ้าหญิงกลับไปยังถ้ำที่ประทับของพญานาค และเมื่อถึงเวลา เจ้าชายก็กลับคืนร่างเป็นพญานาคราชตัวมหึมาน่าเกรงขาม เจ้าหญิงแม้จะหวาดกลัว แต่ก็ทรงยืนหยัดด้วยความกล้าหาญ พญานาคราชดำดิ่งลงสู่บาดาล นำเจ้าหญิงเข้าเฝ้าพญาอนันตนาคราชผู้เป็นบิดา
พญาอนันตนาคราชเห็นถึงความกล้าหาญและความเสียสละของเจ้าหญิง ก็ทรงยินดีและประทานพรวิเศษให้ โดยให้พรว่า "ขอให้นับจากนี้ไป อาณาจักรของเจ้าหญิงจะอุดมสมบูรณ์ ฝนจะตกต้องตามฤดูกาล และผู้คนจะอยู่ดีกินดีตลอดไป"
เมื่อเจ้าหญิงรุ้งฟ้ากลับมายังอาณาจักรของพระองค์ ก็ปรากฏว่าฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก ความแห้งแล้งหายไป ผู้คนต่างดีใจและแซ่ซ้องสรรเสริญในความเสียสละของเจ้าหญิง
เจ้าหญิงรุ้งฟ้าได้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายมณีภพ และเป็นราชินีแห่งเมืองบาดาลตามสัญญา แม้จะต้องอยู่คนละภพ แต่ทั้งสองก็ยังคงไปมาหาสู่กัน ความรักของทั้งสองเป็นดั่งสะพานเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับโลกบาดาล ทำให้สองฟากฝั่งแม่น้ำโขงอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข และเจริญรุ่งเรืองสืบไปชั่วลูกชั่วหลาน


กำเนิดเขาอกทะลุ
เมื่อครั้งที่โลกยังเป็นแค่ความว่างเปล่า มีเพียงฟ้ากับน้ำ และผืนดินที่เพิ่งจะก่อร่างขึ้นมาใหม่ๆ ณ ดินแดนทางใต้ของสยามประเทศ มี ยักษ์สองตน เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่ยังเป็นยักษ์ตัวเล็กๆ ตนหนึ่งชื่อ ท้าวพันตา รูปร่างใหญ่โตมโหฬาร มีดวงตามากมายทั่วร่าง อีกตนหนึ่งชื่อ ท้าวสหัสกร แขนขาแข็งแรง กำยำ มีพลังมหาศาล
ท้าวพันตากับท้าวสหัสกรเป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์เดชมาก แต่ก็เป็นยักษ์ที่ใจดี ไม่เคยรังแกใคร และชอบช่วยเหลือมนุษย์ ครั้งหนึ่ง เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ มนุษย์ล้มตายเป็นจำนวนมาก ยักษ์ทั้งสองจึงช่วยกันร่ายมนต์รักษาโรคภัยไข้เจ็บ ช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากความตายได้มากมาย
วันหนึ่ง ยักษ์ทั้งสองเกิดอยากจะสร้างสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ให้เป็นอนุสรณ์แห่งมิตรภาพของตน จึงปรึกษากันว่าจะสร้างอะไรดี
"ข้าว่าเราสร้างภูเขาดีไหมท้าวสหัสกร ภูเขาที่สูงเสียดฟ้า มองเห็นได้จากทุกทิศทุกทาง" ท้าวพันตาเสนอ
"ดีเลยท้าวพันตา ข้าเห็นด้วย! เรามาแข่งกันสร้างดีกว่า ใครสร้างเสร็จก่อนถือว่าชนะ" ท้าวสหัสกรเห็นด้วยอย่างกระตือรือร้น
ทั้งสองจึงเริ่มลงมือสร้างภูเขาอย่างแข็งขัน ท้าวพันตาใช้กำลังมหาศาลแบกก้อนหินใหญ่โตมาจากทุกสารทิศ โยนซ้อนกันขึ้นไปสูงเสียดฟ้า ส่วนท้าวสหัสกรก็ใช้พละกำลังทั้งหมดขุดดิน ขุดหิน โยกย้ายแผ่นดินขึ้นมาเป็นภูเขา
การแข่งขันดำเนินไปอย่างดุเดือด วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ภูเขาก็เริ่มก่อตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ท้าวพันตานั้นแม้จะมีร่างกายใหญ่โต แต่ด้วยดวงตาที่มากมายทั่วร่าง ทำให้เขามองเห็นได้กว้างไกล จึงสามารถหาก้อนหินที่เหมาะสมมาสร้างได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ท้าวสหัสกรนั้น แม้จะแข็งแรง แต่ก็ต้องใช้เวลาในการมองหาและเลือกสรรวัสดุ
เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ภูเขาของท้าวพันตาใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงยอดเขาเท่านั้น ท้าวสหัสกรหันไปมองภูเขาของเพื่อน ก็รู้สึกร้อนใจ เกรงว่าจะแพ้การแข่งขัน
ด้วยความอยากเอาชนะ ท้าวสหัสกรจึงคิดแผนการ เขารู้ว่าท้าวพันตาชอบกิน หมากพลู เป็นชีวิตจิตใจ จึงแอบไปหมากพลูและปรุงยาเสน่ห์ใส่ลงไปในหมากพลู แล้วนำไปยื่นให้ท้าวพันตา
"ท้าวพันตาเอ๋ย เจ้าสร้างมาเหนื่อยแล้ว พักกินหมากพลูแก้เหนื่อยก่อนเถิด" ท้าวสหัสกรเอ่ยชวนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ท้าวพันตาผู้ไม่รู้เล่ห์เหลี่ยมก็รับหมากพลูมากินทันที ทันใดนั้น ฤทธิ์ยาเสน่ห์ก็แผลงฤทธิ์ ท้าวพันตาเริ่มรู้สึกมึนงง ง่วงเหงาหาวนอน และหลับไปในที่สุด
เมื่อเห็นท้าวพันตาหลับไปแล้ว ท้าวสหัสกรก็รีบเร่งสร้างภูเขาของตนเองอย่างสุดกำลัง จนในที่สุด ภูเขาของเขาก็สร้างเสร็จสมบูรณ์ก่อนท้าวพันตาเพียงเล็กน้อย
เมื่อท้าวพันตาตื่นขึ้นมา ก็พบว่าท้าวสหัสกรสร้างภูเขาเสร็จแล้ว เขารู้สึกเสียใจและโกรธมากที่ถูกเพื่อนหลอก เขาพุ่งเข้าไปหาท้าวสหัสกรหมายจะเอาคืน แต่ด้วยความที่โมโหจนขาดสติ ท้าวพันตาได้ ถีบเข้าที่อกของท้าวสหัสกร อย่างแรง
พละกำลังของท้าวพันตาทำให้ร่างกายของท้าวสหัสกรล้มไปกระแทกกับภูเขาที่เขาสร้างขึ้นมาอย่างจัง ด้วยแรงปะทะอันมหาศาล ทำให้ ภูเขาตรงกลางอกของท้าวสหัสกรทะลุเป็นช่องโหว่ ขนาดใหญ่ ปรากฏเป็นถ้ำที่สามารถมองลอดออกไปได้อีกฝั่งหนึ่ง
ตั้งแต่นั้นมา ภูเขาลูกนั้นจึงมีชื่อว่า "เขาอกทะลุ" ซึ่งเป็นตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ เพื่อเตือนใจให้รู้ว่า แม้แต่เพื่อนรักกันก็ไม่ควรมีความคิดคดโกงกัน และความโกรธเพียงชั่ววูบก็อาจนำมาซึ่งความเสียหายที่แก้ไขไม่ได้
ฉันหวังว่าคุณจะชอบเรื่อง "กำเนิดเขาอกทะลุ"
ท้า


เชียงใหม่ เมื่อพระบรมสารีริกธาตุมาถึง พระองค์ก็ทรงจัดพิธีแห่อย่างยิ่งใหญ่ ชาวเมืองต่างพากันมาแซ่ซ้องสรรเสริญ
แต่เมื่อถึงเวลาที่จะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นประดิษฐานในเจดีย์ ปาฏิหาริย์ก็บังเกิด! พระบรมสารีริกธาตุได้แสดงปาฏิหาริย์ เปล่งแสงเรืองรอง และ แบ่งตัวออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งมีขนาดเท่าเดิม ส่วนอีกส่วนหนึ่งมีขนาดเล็กลง
พระราชาทรงปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงทรงสร้างเจดีย์สองแห่งเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุทั้งสองส่วน ส่วนที่มีขนาดเท่าเดิมได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานที่ วัดสวนดอก อันเป็นที่ตั้งของวัดสำคัญแห่งหนึ่งในเมืองเชียงใหม่
ส่วนพระบรมสารีริกธาตุอีกส่วนหนึ่งที่มีขนาดเล็กลงนั้น พระราชาทรงไม่แน่ใจว่าจะนำไปประดิษฐานที่ใด จึงทรงปรึกษาหารือกับเหล่าอำมาตย์และพระเถระผู้ใหญ่ สุดท้ายจึงได้ข้อสรุปว่า ควรจะเสี่ยงทายโดยการ อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นบนหลังช้างเผือก แล้วปล่อยให้ช้างเผือกเดินไปตามลำพัง โดยกำหนดว่าช้างเผือกหยุดอยู่ตรงไหน ก็จะสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ณ ที่แห่งนั้น
พระราชาทรงเลือก ช้างเผือกคู่บารมี ตัวหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะงดงามและสง่างามเป็นพิเศษ อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานบนหลังช้าง และปล่อยให้ช้างเดินไปอย่างอิสระ ช้างเผือกเดินออกไปจากเมือง มุ่งหน้าขึ้นสู่เทือกเขาสูงทางทิศตะวันตกของเมืองเชียงใหม่
ช้างเผือกเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ โดยไม่หยุดพัก ผู้คนและเหล่าข้าราชบริพารต่างพากันเดินตามไปอย่างเหน็ดเหนื่อย เส้นทางที่ช้างเผือกเดินผ่านนั้นสูงชันและทุรกันดาร แต่ช้างก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ
ในที่สุด ช้างเผือกก็มาหยุดอยู่ที่ ยอดเขาที่สูงที่สุด บนเทือกเขานั้น มันหมอบลงและร้องเสียงดังสามครั้ง ก่อนที่จะสิ้นใจลงในท่าสงบ
เมื่อเห็นดังนั้น พระราชาและชาวเมืองก็ทรงเข้าใจว่า นี่คือปาฏิหาริย์และเป็นพุทธบัญชา พระองค์จึงโปรดให้สร้าง พระธาตุเจดีย์องค์ใหญ่ ขึ้น ณ บริเวณที่ช้างเผือกสิ้นใจ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และให้สถานที่แห่งนั้นเป็นที่สักการะบูชาสืบไป
ด้วยความศรัทธาของชาวเมืองและแรงศรัทธาของพระราชา การก่อสร้างเจดีย์จึงสำเร็จลุล่วงไปอย่างรวดเร็ว และเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงเหตุการณ์สำคัญนี้ เทือกเขาแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า "ดอยสุเทพ" ซึ่งคำว่า "สุเทพ" นั้น มาจากชื่อของฤาษีผู้เคยบำเพ็ญเพียรอยู่บนยอดเขาแห่งนี้ หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ "ดอยแห่งเทพ" นั่นเอง
ตั้งแต่นั้นมา พระธาตุดอยสุเทพ ก็กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวล้านนาและพุทธศาสนิกชนทั่วโลก เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนต่างพากันเดินทางขึ้นไปกราบไหว้บูชา เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต




แต่ยังไม่ทันที่แมวจะไปถึงสำเภา ทันใดนั้นก็เกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้น เม็ดข้าวสารวิเศษ ที่หนูคาบมาด้วยนั้น เกิดมีพลังงานบางอย่าง ทำให้หนูตัวเล็กๆ ค่อยๆ กลายเป็นภูเขา ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางทะเล ส่วน แก้วแหวนเงินทอง ที่แมวคาบมาด้วย ก็ทำให้แมวที่กำลังจะกลับไปขโมยทรัพย์สินบนเรือ กลายเป็น ภูเขาเล็กๆ อยู่ใกล้กัน
ด้วยกรรมที่กระทำ และความไม่ซื่อสัตย์ต่อเพื่อน พ่อค้าสำเภาที่มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่บนเรือที่กำลังจะจม เมื่อเห็นหนูและแมวกลายเป็นภูเขา และไม่สามารถนำทรัพย์สมบัติใดๆ ไปได้ ก็เกิดความเสียใจและเสียดายอย่างมาก จนเขาได้ กลายเป็นหิน อยู่ไม่ไกลจากเกาะทั้งสอง
ตั้งแต่นั้นมา ผู้คนจึงเรียกภูเขาใหญ่ที่เกิดจากหนูว่า "เกาะหนู" และเรียกภูเขาเล็กที่เกิดจากแมวว่า "เกาะแมว" ส่วนก้อนหินที่เกิดจากพ่อค้าสำเภานั้นก็คือ "หินรูปเรือใบ" ที่จมอยู่ใต้น้ำไม่ไกลจากเกาะทั้งสองนั่นเอง
ตำนานเกาะหนูเกาะแมวนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้เห็นถึงผลของความโลภ การคิดคดโกง และการไม่ซื่อสัตย์ ซึ่งอาจนำมาซึ่งการสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง





กระต่ายกับเต่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่ง มี กระต่ายตัวหนึ่ง ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความเร็ว มันวิ่งได้เร็วปร๋อราวกับลมพัด และมักจะโอ้อวดความสามารถของตนเองอยู่เสมอ ตรงกันข้ามกับ เต่าตัวหนึ่ง ซึ่งเคลื่อนไหวช้ามาก เชื่องช้าเสียจนใครๆ ก็พากันหัวเราะเยาะ
วันหนึ่ง กระต่ายรู้สึกเบื่อหน่ายที่เห็นเต่าคลานต้วมเตี้ยมไปมา จึงเอ่ยท้าทายด้วยความเย้ยหยัน
"เจ้าเต่าเอ๋ย ไฉนเจ้าจึงเดินช้าเช่นนี้ มาแข่งวิ่งกับข้าดูไหมเล่า ข้าจะนำหน้าเจ้าไปไกลโพ้นเสียจนเจ้ามองไม่เห็นฝุ่นเลยเชียวแหละ!" กระต่ายหัวเราะคิกคัก
เต่าผู้ใจเย็นและสุขุมเงยหน้ามองกระต่าย แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ "ถึงแม้ข้าจะเดินช้า แต่ข้าก็มั่นใจว่าจะไปถึงเส้นชัยก่อนเจ้าได้แน่"
กระต่ายได้ยินดังนั้นก็หัวเราะลั่นป่า "ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เจ้าพูดอะไรของเจ้า เจ้าเต่าช้าๆ อย่างเจ้านี่นะจะชนะข้าได้! มาเถิด! มาเริ่มแข่งกันเลย!"
เมื่อตกลงกันได้แล้ว สัตว์ต่างๆ ในป่าก็พากันมาเป็นสักขีพยาน ต่างพากันสงสัยว่าเต่าจะสู้กระต่ายได้อย่างไร
เมื่อสัญญาณเริ่มการแข่งขันดังขึ้น กระต่ายก็ออกวิ่งด้วยความเร็วเต็มฝีเท้า มันวิ่งนำเต่าไปไกลลิบในเวลาอันรวดเร็ว ทิ้งให้เต่าค่อยๆ คลานต้วมเตี้ยมตามหลังมาอย่างช้าๆ
กระต่ายวิ่งมาได้สักพัก ก็หันกลับไปมอง ไม่เห็นแม้แต่เงาของเต่า ด้วยความมั่นใจในความเร็วของตน และคิดว่าเต่าคงจะตามมาไม่ทัน กระต่ายจึงตัดสินใจ นอนพักผ่อน ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทาง
"พักสักหน่อยก็แล้วกัน กว่าเจ้าเต่าจะมาถึง ข้าคงได้นอนหลับสบายไปหลายตื่น" กระต่ายคิดพลางหลับตาลงอย่างสบายใจ และแล้วมันก็ผล็อยหลับไปจริงๆ
ขณะที่กระต่ายกำลังหลับใหลอย่างไม่รู้ตัว เต่าผู้มุ่งมั่นก็ยังคงคลานต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่ย่อท้อ มันไม่เคยหยุดพัก และไม่เคยท้อแท้ แม้จะช้าเพียงใด แต่เป้าหมายของมันคือเส้นชัย
ในที่สุด เต่าก็คลานมาถึงบริเวณที่กระต่ายนอนหลับอยู่ มันคลานผ่านกระต่ายไปอย่างเงียบๆ และยังคงคลานต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
จนกระทั่งเต่าคลานมาถึง เส้นชัย สัตว์ต่างๆ ที่เฝ้ารอชมการแข่งขันต่างส่งเสียงโห่ร้องแสดงความยินดี
เสียงโห่ร้องปลุกให้กระต่ายตื่นขึ้นมา มันลุกขึ้นยืนด้วยความงุนงง และมองไปยังเส้นชัย ก็พบว่าเต่าได้ถึงเส้นชัยไปก่อนแล้ว! กระต่ายรู้สึกตกใจและละอายใจเป็นอย่างมาก ที่ความประมาทและความเย่อหยิ่งทำให้มันพ่ายแพ้ต่อเต่าผู้เชื่องช้า
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความประมาทและความเย่อหยิ่งอาจนำมาซึ่งความพ่ายแพ้ และ ความพยายามอย่างไม่ย่อท้อ ย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จ แม้จะเชื่องช้าเพียงใดก็ตาม




ราชสีห์รู้สึกประหลาดใจและซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก ที่หนูตัวเล็กๆ ที่มันเคยดูถูก กลับมาช่วยเหลือมันไว้ในยามคับขัน
"เจ้าหนูเอ๋ย ข้าไม่น่าดูถูกเจ้าเลย เจ้าเป็นเพื่อนที่ดีของข้า นับแต่นี้เป็นต้นไป ข้าจะไม่ดูถูกผู้ใดอีก และจะจดจำบุญคุณของเจ้าไปตลอดชีวิต" ราชสีห์กล่าวด้วยความจริงใจ
ตั้งแต่นั้นมา ราชสีห์และหนูก็กลายเป็นเพื่อนรักกัน และอยู่ร่วมกันในป่าอย่างมีความสุข
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าดูถูกผู้อื่นที่ด้อยกว่า เพราะบางครั้งผู้ที่ด้อยกว่าก็อาจเป็นผู้มีคุณค่าและสามารถช่วยเหลือเราได้ในยามที่เราลำบาก และ ความเมตตาแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจนำมาซึ่งการตอบแทนอันยิ่งใหญ่


หมาป่ากับลูกแกะ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ริมลำธารใสสะอาดแห่งหนึ่ง มี หมาป่าตัวหนึ่ง กำลังกระหายน้ำเป็นอย่างมาก มันจึงเดินลงไปดื่มน้ำที่ต้นน้ำ
ไม่ไกลจากหมาป่าลงไปทางท้ายน้ำ มี ลูกแกะตัวหนึ่ง กำลังยืนดื่มน้ำอย่างสบายใจเช่นกัน
หมาป่าผู้หิวโหยและมีนิสัยเจ้าเล่ห์ เมื่อเห็นลูกแกะตัวอ้วนพี ก็คิดหาทางจับลูกแกะกิน จึงแกล้งทำเป็นโกรธแล้วร้องตะโกนขึ้นไปว่า
"เจ้าลูกแกะตัวจ้อย! เจ้าบังอาจมาทำให้ข้าน้ำขุ่นได้อย่างไร! ข้าดื่มน้ำอยู่ตรงนี้ เจ้ากลับมายืนทำน้ำขุ่นอยู่ท้ายน้ำ! ข้าไม่มีน้ำสะอาดดื่มเลย!" หมาป่ากล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน
ลูกแกะตัวน้อยตกใจมาก ด้วยความบริสุทธิ์ใจจึงรีบตอบกลับไปว่า
"นายท่านผู้ทรงอำนาจ ท่านเข้าใจผิดแล้วขอรับ! ข้าดื่มน้ำอยู่ท้ายน้ำ ส่วนท่านอยู่ต้นน้ำ กระแสน้ำย่อมไหลจากต้นน้ำลงสู่ท้ายน้ำอยู่แล้ว ข้าจะทำให้ท่านน้ำขุ่นได้อย่างไรกันเล่าขอรับ"
หมาป่าได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปชั่วครู่ แต่มันก็ยังไม่ละความพยายามที่จะหาเหตุผลมาปรักปรำลูกแกะ
"ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้! เช่นนั้นคงเป็นเรื่องอื่น! เมื่อปีกลาย เจ้าได้กล่าวร้ายข้าลับหลังใช่หรือไม่!" หมาป่ากล่าวหาอีกครั้ง
ลูกแกะได้ยินดังนั้นก็ยิ่งงุนงงไปใหญ่ "นายท่านขอรับ เมื่อปีกลายข้ายังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ! ข้าเพิ่งเกิดเมื่อต้นปีนี้เอง ข้าจะไปกล่าวร้ายท่านได้อย่างไรกัน"
หมาป่าจนด้วยเหตุผลที่จะกล่าวหาลูกแกะ แต่ด้วยความหิวและต้องการจะกินลูกแกะให้ได้ มันจึงไม่รอช้า และพูดออกมาอย่างหน้าไม่อาย
"ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าก็ต้องเป็นผู้ผิด! ไม่ใช่เจ้าก็ต้องเป็นพ่อของเจ้าที่เคยกล่าวร้ายข้าไว้ก่อนหน้านี้! ไม่ต้องพูดมากแล้ว ข้าจะกินเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ!"
พูดจบ หมาป่าก็พุ่งเข้าใส่ลูกแกะทันที ลูกแกะไม่มีทางสู้ ได้แต่ร้องด้วยความหวาดกลัว และในที่สุดก็ตกเป็นเหยื่อของหมาป่าผู้ไร้เหตุผล
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้ที่คิดจะทำความชั่ว ย่อมหาเหตุผลมาปรักปรำผู้อื่นได้เสมอ ไม่ว่าเหตุผลนั้นจะฟังขึ้นหรือไม่ก็ตาม และ ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแรงกว่าและไม่ยอมรับฟังเหตุผล ย่อมยากที่จะหลีกหนีชะตากรรมได้


มดกับตั๊กแตน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในฤดูร้อนอันอบอ้าว ณ ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ มี ตั๊กแตนตัวหนึ่ง ที่มีนิสัยรักสนุก ชอบร้องเพลงและเต้นรำไปวันๆ ไม่คิดที่จะทำงานทำการ มันใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่นสนุกสนานและหาความสุขใส่ตัว
ในขณะเดียวกัน ก็มี ฝูงมด ที่ขยันขันแข็ง พวกมันทำงานเก็บสะสมอาหารอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พวกมันเดินแถวกันเป็นระเบียบ แบกเมล็ดข้าวและเศษอาหารชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลับรังอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง
ตั๊กแตนเห็นมดทำงานหนักก็รู้สึกแปลกใจและอดที่จะเย้ยหยันไม่ได้
"พวกเจ้าจะรีบร้อนไปไหนกันเล่า? ทำงานหนักไปทำไมในเมื่อชีวิตนี้มีแต่ความสุข! มาเล่นสนุก ร้องเพลงกับข้าดีกว่า!" ตั๊กแตนกล่าวพลางดีดสีไวโอลินขับกล่อม
ฝูงมดได้ยินดังนั้นก็ตอบกลับไปว่า "เรากำลังเก็บอาหารสำหรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง หากเจ้าไม่เก็บอาหารไว้ ตอนฤดูหนาว เจ้าจะเอาอะไรกินเล่า?"
ตั๊กแตนหัวเราะร่วน "ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ฤดูหนาวอะไรกัน! นี่มันฤดูร้อนอยู่เลย ยังมีเวลาอีกเยอะ! ข้าจะเล่นสนุกให้เต็มที่ก่อน!"
แล้วตั๊กแตนก็ยังคงร้องเพลงและเต้นรำต่อไป ไม่สนใจคำเตือนของมดเลยแม้แต่น้อย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฤดูร้อนได้ผ่านพ้นไป และ ฤดูหนาว อันหนาวเหน็บก็มาเยือน ต้นไม้ต่างผลัดใบ หิมะโปรยปรายลงมาปกคลุมพื้นดิน สัตว์ต่างๆ พากันหลบหนาวอยู่ในรัง
ตั๊กแตนผู้อดอยากและหนาวเหน็บ ไม่มีอาหารเหลือแม้แต่น้อย ร่างกายผอมโซและอ่อนแรง มันเริ่มรู้สึกเสียใจในความประมาทของตนเอง
ในที่สุด ตั๊กแตนก็จำใจต้องเดินโซซัดโซเซไปที่รังของฝูงมด แล้วเคาะประตูขออาหารด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
"ท่านมดผู้ใจดี... ข้าหิวเหลือเกิน... ไม่มีอะไรจะกินแล้ว... โปรดแบ่งอาหารให้ข้าสักเล็กน้อยได้ไหม"
มดตัวหนึ่งเปิดประตูออกมา มองตั๊กแตนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสาร แต่มันก็จำต้องเตือนสติ
"เจ้าตั๊กแตนเอ๋ย ในฤดูร้อนที่ผ่านมา เจ้าเอาแต่ร้องเพลงและเต้นรำ ไม่ยอมทำงานเก็บอาหารเลยมิใช่หรือ? แล้วเหตุใดตอนนี้เจ้าจึงมาขออาหารจากเราเล่า"
ตั๊กแตนได้แต่ก้มหน้ารับสารภาพด้วยความละอายใจ "ข้าผิดเอง... ข้าประมาท... ไม่น่าหลงระเริงไปกับความสุขเพียงชั่วคราวเลย"
ด้วยความเมตตา มดจึงยอมแบ่งอาหารให้ตั๊กแตนเพียงเล็กน้อย เพื่อให้มันประทังชีวิตไปได้ แต่ก็กำชับว่า "จงจำไว้ว่า เมื่อมีโอกาส จงรู้จักเตรียมพร้อมสำหรับวันข้างหน้า อย่ามัวแต่สนุกสนานจนลืมหน้าที่ของตนเอง"
ตั้งแต่นั้นมา ตั๊กแตนก็กลับตัวกลับใจ มันเลิกนิสัยเกียจคร้าน และรู้จักทำงานเก็บสะสมอาหารเมื่อมีโอกาส เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงรู้จักเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต อย่าใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันโดยประมาท และ ความขยันหมั่นเพียรย่อมนำมาซึ่งความอยู่รอด ในขณะที่ ความเกียจคร้านอาจนำมาซึ่งความทุกข์ยาก



ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม