นิทานอีสป
หมาป่ากับแพะน้อย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มี หมาป่าตัวหนึ่ง ที่หิวโซมาก มันเดินหาอาหารไปทั่ว แต่ก็ไม่พบอะไรเลย จนกระทั่งมาถึงบริเวณหน้าผาสูงชัน และพบกับ แพะน้อยตัวหนึ่ง กำลังยืนแทะเล็มหญ้าอยู่บนยอดเขาอย่างสบายใจ
หมาป่าเห็นแพะน้อยก็ดีใจยิ่งนัก คิดว่าจะได้มื้ออร่อย แต่ด้วยความที่แพะอยู่บนที่สูง หมาป่าจึงไม่สามารถเข้าถึงตัวแพะได้ มันจึงคิดอุบาย พยายามชักชวนให้แพะน้อยลงมาหา
"นี่แน่ะเจ้าแพะน้อยเอ๋ย! ไฉนเจ้าจึงไปยืนอยู่บนที่สูงเช่นนั้นเล่า ไม่กลัวตกเหวไปหรือ? อีกอย่าง หญ้าตรงนั้นก็ไม่เห็นจะน่ากินเลย" หมาป่าแกล้งทำเป็นห่วง
แพะน้อยได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหมาป่าอย่างสงสัย
หมาป่าจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงชักชวน "ลงมาข้างล่างนี้สิ! หญ้าตรงนี้เขียวชอุ่มน่ากินกว่าเยอะแยะ แถมยังมีน้ำใสเย็นให้ดื่มอีกด้วย ลงมาเถิด! ปลอดภัยกว่าเยอะ"
แพะน้อยผู้เฉลียวฉลาด เมื่อได้ยินคำพูดของหมาป่า ก็รู้ได้ทันทีว่าหมาป่ากำลังคิดไม่ดี เพราะหากลงไปด้านล่าง ย่อมตกเป็นเหยื่อของหมาป่าอย่างแน่นอน
แพะน้อยจึงตอบกลับไปอย่างใจเย็น "ท่านหมาป่าผู้เจ้าเล่ห์เอ๋ย! ขอบใจในความหวังดีของท่าน แต่ข้ารู้ดีว่าท่านไม่ใช่ห่วงใยในความปลอดภัยของข้าหรอก ท่านห่วงใยก็แต่ท้องของท่านเองต่างหากเล่า!"
เมื่อหมาป่าถูกจับได้ว่าหลอกลวง ก็ได้แต่ยืนอับอาย ทำอะไรไม่ถูก ส่วนแพะน้อยก็ยังคงยืนแทะเล็มหญ้าบนยอดเขาอย่างปลอดภัย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงมีสติปัญญาและไตร่ตรองให้รอบคอบ อย่าหลงเชื่อคำพูดชักชวนของคนแปลกหน้า หรือผู้ที่ไม่หวังดี เพราะบางครั้ง คำพูดหวานหูอาจซ่อนอันตรายไว้
มดกับนกพิราบ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ริมลำธารเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มี มดตัวหนึ่ง กำลังเดินหาอาหารด้วยความขยันขันแข็ง พลันพลัดตกลงไปในลำธาร กระแสน้ำพัดพาตัวมันไปอย่างรวดเร็ว มดพยายามดิ้นรนตะเกียกตะกายแต่ก็ไม่สามารถขึ้นจากน้ำได้ มันรู้สึกสิ้นหวังและคิดว่าคงจะต้องจมน้ำตายเป็นแน่
ขณะนั้น นกพิราบตัวหนึ่ง กำลังบินผ่านมา มันเห็นมดกำลังตกอยู่ในอันตราย จึงเกิดความสงสาร นกพิราบรีบ คาบใบไม้เล็ก ๆ ใบหนึ่ง แล้วบินมาวางลงในลำธารใกล้ ๆ กับมดที่กำลังลอยคออยู่
มดเห็นใบไม้ก็ดีใจยิ่งนัก รีบตะเกียกตะกายปีนขึ้นไปบนใบไม้นั้น ใบไม้ลอยไปตามกระแสน้ำ จนกระทั่งลอยไปติดอยู่ริมฝั่ง มดจึงสามารถไต่ขึ้นจากน้ำได้อย่างปลอดภัย มันรู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของนกพิราบเป็นอย่างมาก และนึกในใจว่าจะต้องตอบแทนบุญคุณของนกพิราบให้ได้สักวันหนึ่ง
วันเวลาผ่านไปหลายวัน มดก็ยังคงทำงานหาอาหารตามปกติ ส่วนนกพิราบก็ยังคงบินวนเวียนอยู่แถวลำธารแห่งนั้น
อยู่มาวันหนึ่ง มดกำลังเดินหาอาหารอยู่บนต้นไม้สูง และได้ยินเสียงฝีเท้าของ นายพรานคนหนึ่ง กำลังย่องเข้ามาใกล้ๆ บริเวณที่นกพิราบกำลังเกาะพักผ่อนอยู่ นายพรานกำลังเล็งหน้าไม้ไปที่นกพิราบ หมายจะยิงให้นกพิราบตกลงมา
มดเห็นดังนั้นก็ตกใจ มันนึกถึงบุญคุณที่นกพิราบเคยช่วยเหลือชีวิตไว้ จึงไม่รอช้า มดรีบวิ่งเข้าไปใกล้ๆ นายพราน แล้ว กัดเข้าที่ข้อเท้าของนายพราน อย่างแรง
นายพรานรู้สึกเจ็บปวด จึงร้องอุทานด้วยความตกใจและสะดุ้งเฮือก พลันทำหน้าไม้ที่เล็งไว้นั้นหลุดมือ เสียงร้องและท่าทางของนายพรานทำให้ นกพิราบรู้ตัว มันรีบบินหนีไปได้อย่างหวุดหวิด รอดพ้นจากอันตรายอย่างปาฏิหาริย์
นกพิราบรู้ว่ามดเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตมันไว้ จึงบินลงมาหามด แล้วกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ
"เจ้ามดเอ๋ย ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะสามารถช่วยชีวิตข้าได้ เจ้าตอบแทนบุญคุณข้าอย่างแท้จริง ขอบใจเจ้ามาก"
นับแต่นั้นมา มดกับนกพิราบก็กลายเป็นเพื่อนรักกัน และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในป่าแห่งนั้น
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การทำความดี แม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจนำมาซึ่งการตอบแทนที่ยิ่งใหญ่ และ จงรู้จักบุญคุณผู้อื่น เพราะบางครั้งผู้ที่ด้อยกว่าก็อาจช่วยเหลือเราได้ในยามคับขัน
หมาจิ้งจอกกับกา
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าแห่งหนึ่ง มี กาตัวหนึ่ง กำลังเกาะอยู่บนกิ่งไม้ โดยมี เนยแข็งชิ้นใหญ่ คาอยู่ในปาก กาตัวนั้นรู้สึกภูมิใจในเนยแข็งที่หามาได้เป็นอย่างมาก
ขณะนั้น หมาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่ง เดินผ่านมา และเห็นกากำลังคาบเนยแข็งชิ้นโตอยู่ ก็เกิดความอยากกินขึ้นมาทันที แต่จะแย่งเอาดื้อๆ ก็กลัวกาจะบินหนีไปได้
หมาจิ้งจอกจึงคิดอุบาย มันเดินเข้าไปใกล้ๆ ต้นไม้ แล้วเงยหน้ามองกา พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและเยินยอ
"โอ้! ท่านกาน้อยผู้สง่างาม! ท่านช่างสวยงามเหลือเกิน ขนของท่านเงางามราวกับผ้าไหม ปีกของท่านก็กว้างใหญ่สง่างาม" หมาจิ้งจอกกล่าวชมเชย
กาได้ยินคำเยินยอก็รู้สึกพึงพอใจ แต่ก็ยังคงคาบเนยแข็งไว้อย่างแน่นหนา
หมาจิ้งจอกเห็นว่ากาเริ่มคล้อยตาม จึงกล่าวชมต่อไป "ข้าได้ยินว่า เสียงของท่านก็ไพเราะจับใจยิ่งนัก ไพเราะกว่านกตัวใดๆ ในป่านี้เสียอีก ข้าไม่เคยได้ยินเสียงร้องที่งดงามเช่นท่านเลย! ท่านจะกรุณาร้องเพลงให้ข้าฟังได้ไหม เพื่อที่ข้าจะได้ชื่นชมความไพเราะของเสียงท่าน"
กาผู้หลงระเริงไปกับคำเยินยอของหมาจิ้งจอก คิดอยากจะอวดเสียงร้องอันไพเราะของตนเองต่อหน้าหมาจิ้งจอก จึงลืมไปว่าตนเองกำลังคาบเนยแข็งอยู่ในปาก
เมื่อตัดสินใจจะร้องเพลง กาก็ อ้าปาก ทันใดนั้นเอง เนยแข็งชิ้นโตก็ร่วงหล่นลงมา จากปากของกา ตกลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง
หมาจิ้งจอกไม่รอช้า มันรีบวิ่งเข้าไปคาบเนยแข็งชิ้นนั้น แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้กานั่งเสียดายและเสียใจอยู่บนกิ่งไม้ตามลำพัง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงระวังคำเยินยอประจบสอพลอ เพราะบ่อยครั้งที่ คำหวานนั้นซ่อนเล่ห์เหลี่ยมและเจตนาไม่ดี เอาไว้ และความหลงระเริงในคำชมอาจทำให้เราต้องสูญเสียบางสิ่งไปโดยไม่รู้ตัว
ชายขอทานกับพรแห่งการให้
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ แคว้นพาราณสีอันรุ่งเรือง มี ชายขอทานคนหนึ่ง นามว่า ปุณณะ เขาใช้ชีวิตอยู่ข้างถนน อาศัยเพียงเศษอาหารและน้ำจากความเมตตาของผู้คน แม้จะยากจนข้นแค้น แต่ปุณณะก็มีจิตใจที่บริสุทธิ์ มีเมตตา และพร้อมจะแบ่งปันเสมอ หากมีสิ่งใดที่พอจะแบ่งปันได้
วันหนึ่ง พระพุทธเจ้า เสด็จออกโปรดสัตว์ และได้เสด็จผ่านมายังบริเวณที่ปุณณะนั่งขอทานอยู่ ชาวเมืองต่างพากันนำอาหารและสิ่งของมาถวายพระพุทธเจ้าด้วยความศรัทธา ปุณณะมองดูด้วยแววตาที่เลื่อมใส แต่เขากลับไม่มีสิ่งใดจะถวายเลยสักชิ้นเดียว ด้วยความตั้งใจอันบริสุทธิ์ ปุณณะจึงได้เพียงแต่ พนมมือไหว้ด้วยใจจริง และอธิษฐานว่า "หากข้าพเจ้ามีบุญพอ ขอให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสถวายทานแด่พระพุทธเจ้าสักครั้งในชีวิต"
พระพุทธเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นความตั้งใจอันบริสุทธิ์ของปุณณะ ทรงแย้มพระโอษฐ์น้อยๆ และเสด็จผ่านไป
วันรุ่งขึ้น ปุณณะยังคงออกขอทานตามปกติ ระหว่างทางเขาได้พบกับ เต่าตัวหนึ่ง กำลังคลานต้วมเตี้ยมอยู่กลางแดดร้อนจัด เต่าตัวนั้นดูแก่ชรามาก มีกระดองสีเขียวคร่ำคร่า ปุณณะรู้สึกสงสาร จึงอุ้มเต่าไปวางไว้ในร่มไม้ใหญ่ใกล้กับแหล่งน้ำ และป้อนน้ำให้มันดื่ม
ทันใดนั้น เต่าก็พูดขึ้นมาได้! "ขอบใจเจ้ามากปุณณะเอ๋ย ข้ามีอายุถึง หนึ่งพันปี แล้ว ไม่เคยมีผู้ใดเมตตาต่อข้าเช่นเจ้าเลย หากเจ้ามีสิ่งใดเดือดร้อน จงมาหาข้า ข้าจะช่วยเหลือเจ้า" เต่ากล่าวจบก็ดำดิ่งลงสู่ก้นบ่ออย่างรวดเร็ว
ปุณณะรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเป็นพิเศษ ยังคงใช้ชีวิตขอทานต่อไป
อีกหลายวันต่อมา ปุณณะเดินเข้าไปในป่าเพื่อหาพืชผักมาประทังชีวิต และได้พบกับ พระชรารูปหนึ่ง กำลังนั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ใต้ต้นไม้ พระชรารูปนั้นดูสงบเยือกเย็น และมีรัศมีแห่งธรรมเปล่งประกาย แต่ปุณณะสังเกตเห็นว่า พระชราพยายามจะเหาะขึ้นฟ้าแต่ก็ทำไม่ได้
ปุณณะเข้าไปนมัสการ และกล่าวว่า "ท่านพระคุณเจ้าขอรับ ข้าพเจ้าเห็นท่านบำเพ็ญเพียรมานาน แต่ยังไม่สามารถเหาะได้ ข้าพเจ้าอาจไม่บังอาจ แต่ขอถามด้วยความเคารพว่า ท่านบำเพ็ญเพียรมานานเท่าใดแล้วขอรับ"
พระชราตอบด้วยเมตตาว่า "อาตมาบำเพ็ญเพียรมาแล้วถึง ห้าร้อยปี แต่ก็ยังไม่บรรลุถึงวิชาเหาะได้เลย"
ปุณณะจึงกล่าวขึ้นว่า "บางทีอาจเป็นเพราะท่านยังไม่เคยได้พบเจอหรือช่วยเหลือสัตว์ที่มีอายุยืนยาวเกินกว่าวัย หรือยังไม่เคยทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทนอย่างแท้จริงก็เป็นได้ขอรับ"
พระชรานิ่งฟัง แล้วฉุกคิดได้ว่าตนเองมุ่งเน้นแต่การบำเพ็ญเพียรเพื่อตนเอง ไม่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นมากนัก พระชราจึงก้มลงกราบปุณณะด้วยความเคารพ แล้วเอ่ยว่า "ขอบใจเจ้ามากปุณณะ คำแนะนำของเจ้าทำให้ข้าตาสว่างแล้ว"
ปุณณะยังคงใช้ชีวิตขอทานต่อไป จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้ยินข่าวว่า เศรษฐีผู้ร่ำรวยคนหนึ่ง มีลูกสาวที่งดงามมาก แต่กลับพูดไม่ได้มาตั้งแต่เกิด เศรษฐีประกาศว่า หากใครสามารถทำให้ลูกสาวพูดได้ จะยกสมบัติให้ครึ่งหนึ่งและจะยกลูกสาวให้เป็นภรรยา
ปุณณะนึกถึงเต่าอายุพันปี เขาจึงเดินทางไปยังบ่อน้ำที่เคยเจอเต่า แล้วร้องเรียก "ท่านเต่าพันปี ท่านเต่าพันปี"
ทันใดนั้น เต่าตัวมหึมาก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำ ปุณณะเล่าเรื่องราวของลูกสาวเศรษฐีให้เต่าฟัง เต่าจึงกล่าวว่า "ความดีที่เจ้าเคยทำไว้ ทำให้เจ้าได้พบกับปัญญา จงไปบอกเศรษฐีว่า ให้ลูกสาวของเขาไปนมัสการพระชราที่บำเพ็ญเพียรมาห้าร้อยปี และให้พระชรารูปนั้นถวายพรให้"
ปุณณะรีบเดินทางไปหาเศรษฐี และเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง เศรษฐีแม้จะสงสัย แต่ก็ยอมทำตาม เพราะไม่มีทางอื่นแล้ว
เมื่อลูกสาวเศรษฐีและเศรษฐีไปนมัสการพระชราที่ปุณณะบอก พระชราผู้ซึ่งตอนนี้ได้กลับมามีเมตตาต่อสัตว์โลกและช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว ก็กล่าวให้พรแก่ลูกสาวเศรษฐี "ขอให้เจ้าจงเปล่งเสียงออกมาได้ดังที่ใจปรารถนาเถิด"
ทันใดนั้น ลูกสาวเศรษฐีก็สามารถ พูดได้เป็นครั้งแรก! เธอดีใจจนน้ำตาไหล เศรษฐีก็ปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ตามคำมั่นสัญญา เศรษฐีจึงยกสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง และยกลูกสาวให้แต่งงานกับปุณณะ ปุณณะจึงกลายเป็น เศรษฐีผู้มั่งคั่ง ในทันที
ปุณณะในฐานะเศรษฐี มิได้หลงระเริงไปกับทรัพย์สมบัติ เขาใช้ชีวิตอย่างสมถะ และใช้ทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ยากไร้ สร้างสาธารณประโยชน์ต่างๆ ให้แก่เมือง ทำให้ปุณณะกลายเป็นที่รักและเคารพของชาวเมืองทุกคน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความดีงามที่มาจากใจบริสุทธิ์ การเป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ย่อมนำมาซึ่งพรวิเศษและความสำเร็จในชีวิต แม้จะเริ่มต้นจากจุดที่ต่ำต้อยเพียงใดก็ตาม และ การช่วยเหลือผู้อื่น แม้จะเล็กน้อย ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งดีงามที่ยิ่งใหญ่ได้
หมาจิ้งจอกกับองุ่น
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ชายป่าแห่งหนึ่งที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณธัญญาหาร มี หมาจิ้งจอกตัวหนึ่ง ที่หิวโหยมาก มันเดินโซซัดโซเซไปทั่วเพื่อหาอาหารประทังชีวิต
ในที่สุด มันก็มาเจอเข้ากับ ไร่องุ่นแห่งหนึ่ง องุ่นแต่ละพวงห้อยระย้าจากกิ่งก้าน ดูน่ากินเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งองุ่นสีม่วงเข้มที่ดูฉ่ำน้ำ และกำลังสุกงอมเต็มที่
หมาจิ้งจอกเห็นองุ่นแล้วก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก น้ำลายสอ มันพยายามกระโดดขึ้นไปงับพวงองุ่นที่ห้อยต่ำๆ แต่ก็ไม่สามารถเอื้อมถึง เพราะองุ่นอยู่สูงเกินไป
มันพยายามแล้วพยายามอีก กระโดดแล้วกระโดดเล่า พยายามทุกวิถีทางที่จะคว้าองุ่นเหล่านั้นมาให้ได้ แต่ไม่ว่าจะกระโดดสูงแค่ไหน ก็ทำได้เพียงแค่เฉียดๆ เท่านั้น
เมื่อพยายามอยู่นานจนเหนื่อยอ่อน และรู้ว่าไม่สามารถเอาองุ่นมาได้แน่ๆ หมาจิ้งจอกก็หยุดลง มันมองดูพวงองุ่นอีกครั้งด้วยความผิดหวัง
แล้วมันก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดูถูกว่า "ชิ! องุ่นอะไรกัน! ดูท่าทางจะเปรี้ยวเสียจนกินไม่ได้เป็นแน่! ข้าไม่เห็นอยากจะกินเลยสักนิด!"
จากนั้น หมาจิ้งจอกก็เชิดหน้าเดินจากไปอย่างไม่ใยดี แม้ในใจลึกๆ แล้วมันจะยังคงอยากกินองุ่นเหล่านั้นมากก็ตาม
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนบางคน เมื่อไม่สามารถได้สิ่งที่ปรารถนา ก็มักจะแสร้งทำเป็นดูถูกเหยียดหยามสิ่งนั้น เพื่อปลอบใจตนเอง และปกปิดความผิดหวังของตนเอง
หมาป่ากับเสื้อคลุมแกะ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มี หมาป่าเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่ง มันเบื่อหน่ายกับการที่ต้องออกแรงวิ่งไล่จับแกะมาเป็นอาหาร เพราะแกะมักจะหนีรอดไปได้เสมอ หรือไม่ก็รวมฝูงกันต่อสู้ มันจึงคิดหาวิธีที่ฉลาดกว่านั้น
หมาป่าเดินไปเจอเข้ากับ หนังแกะผืนหนึ่ง ที่ชาวบ้านตากทิ้งไว้ ด้วยความคิดอันเฉียบแหลม มันจึงสวมหนังแกะนั้นคลุมตัวไว้ เพื่อปลอมแปลงเป็นแกะตัวหนึ่ง
เมื่อหมาป่าสวมเสื้อคลุมแกะแล้ว มันก็เดินปะปนเข้าไปในฝูงแกะที่กำลังแทะเล็มหญ้าอยู่ในทุ่ง เสียงของหมาป่าที่เคยห้าวหาญก็ถูกดัดให้แผ่วเบาเลียนแบบเสียงแกะ มันพยายามทำตัวเหมือนแกะทุกอย่าง เดินช้าๆ ก้มหน้าก้มตากินหญ้า และไม่แสดงพิรุธใดๆ เลย
แกะในฝูงต่างพากันตายใจ ไม่เอะใจเลยแม้แต่น้อยว่ามีหมาป่าปลอมตัวเข้ามาปะปนอยู่ด้วย พวกมันคิดว่าหมาป่าตัวนี้เป็นเพื่อนร่วมฝูงธรรมดาๆ ที่เพิ่งย้ายมาใหม่
เมื่อตกเย็น ฝูงแกะก็พากันเดินกลับคอก เพื่อเข้าพักผ่อน หมาป่าในคราบแกะก็เดินตามเข้าไปในคอกด้วยอย่างสบายใจ มันคิดในใจว่า คืนนี้จะได้เลือกกินแกะตัวไหนก็ได้ตามใจชอบ โดยไม่ต้องออกแรงวิ่งไล่ให้เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย
แต่แล้ว นายพรานเจ้าของฝูงแกะ ก็เดินเข้ามาในคอก เพื่อตรวจสอบจำนวนแกะ นายพรานผู้ชำนาญการเลี้ยงแกะ สังเกตเห็นแกะตัวหนึ่งมีพฤติกรรมแปลกๆ และรูปร่างที่ดูใหญ่กว่าแกะตัวอื่นๆ เล็กน้อย
นายพรานสงสัย จึงเดินเข้าไปใกล้ๆ และเมื่อพิจารณาดูให้ดี เขาก็พบว่าใต้หนังแกะที่ห่มคลุมอยู่นั้นคือ หมาป่า นั่นเอง!
นายพรานโกรธจัดที่หมาป่าพยายามหลอกลวง เขารีบจับหมาป่าถอดเสื้อคลุมแกะออก แล้วจัดการลงโทษหมาป่าอย่างสาสม
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความชั่วร้ายย่อมถูกเปิดเผยในที่สุด ไม่ว่าจะปกปิดหรือปลอมแปลงได้แนบเนียนเพียงใดก็ตาม และ การหลอกลวงผู้อื่นย่อมไม่พ้นกรรม
กบเลือกนาย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีฝูง กบ อาศัยอยู่อย่างมีความสุขในบึงใหญ่แห่งหนึ่ง พวกมันใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี กระโดดโลดเต้นไปมาอย่างสนุกสนาน แต่แล้ววันหนึ่ง พวกกบก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับการที่ไม่มีใครเป็นผู้ปกครอง ไม่มีกฎระเบียบใดๆ ทำให้ชีวิตดูไร้ระเบียบไปหมด
ฝูงกบจึงพากันประชุมปรึกษาหารือกัน แล้วตัดสินใจส่งผู้แทนไป ร้องขอต่อเทพเจ้าซุส ผู้เป็นประมุขแห่งเทพทั้งปวง ให้ส่งผู้ปกครองมาให้พวกตน
เทพเจ้าซุสได้ยินคำอ้อนวอนของเหล่ากบ ก็ทรงแย้มสรวลเล็กน้อย ด้วยทรงเห็นในความไร้เดียงสาของพวกมัน พระองค์จึงทรงโยน ท่อนไม้ใหญ่ ลงไปในบึงดัง "ตูม!"
เหล่ากบตกใจเสียงดังสนั่น พากันดำน้ำหลบซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำด้วยความหวาดกลัว พวกมันคิดว่าผู้ปกครองที่เทพเจ้าซุสส่งมานั้นจะต้องน่าเกรงขามและดุร้ายเป็นแน่
เมื่อเวลาผ่านไปนานพอสมควร และเห็นว่าท่อนไม้นั้นนิ่งสงบ ไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำอันตรายใดๆ พวกกบก็ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากน้ำอย่างช้าๆ แล้วพากันว่ายน้ำเข้าไปใกล้ๆ ท่อนไม้ด้วยความสงสัย
เมื่อเห็นว่าท่อนไม้เป็นเพียงท่อนไม้ธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย กบทุกตัวก็พากันหัวเราะเยาะ และรู้สึกผิดหวังอย่างมากที่ได้ผู้ปกครองที่ไม่น่าเกรงขามเช่นนี้
ฝูงกบจึงตัดสินใจส่งผู้แทนไปร้องขอเทพเจ้าซุสอีกครั้ง
"โอ้! ท่านเทพเจ้าซุสผู้ยิ่งใหญ่! ผู้ปกครองที่ท่านประทานให้นั้นช่างอ่อนแอและไม่ได้เรื่องเลย โปรดประทานผู้ปกครองที่แข็งแกร่งและน่าเกรงขามกว่านี้ให้แก่พวกข้าด้วยเถิด!"
เทพเจ้าซุสได้ยินดังนั้น ก็ทรงพิโรธเล็กน้อยในความไม่รู้จักพอของพวกกบ พระองค์จึงทรงส่ง งูน้ำตัวหนึ่ง ลงไปในบึง
งูน้ำตัวนั้นเป็นผู้ปกครองที่แข็งแกร่งและน่าเกรงขามอย่างที่พวกกบปรารถนาจริงๆ มันเริ่มจับกบกินทีละตัวอย่างไม่ปรานี เสียงร้องด้วยความหวาดกลัวของกบดังก้องไปทั่วบึง
เหล่ากบพากันตกใจกลัวจนตัวสั่น ไม่กล้ากระโดดไปไหน ไม่มีใครกล้าออกหากิน และต้องอยู่อย่างหวาดระแวงตลอดเวลา พวกมันต่างพากันร้องไห้คร่ำครวญ และรู้สึกเสียใจที่ได้ขอผู้ปกครองที่ดุร้ายเช่นนี้
ในที่สุด กบที่เหลือรอดชีวิตอยู่ก็พากันส่งผู้แทนไปร้องขอต่อเทพเจ้าซุสอีกครั้ง ด้วยน้ำตาและเสียงสั่นเครือ "ท่านเทพเจ้าซุสผู้ยิ่งใหญ่ โปรดช่วยพวกข้าด้วยเถิด! ผู้ปกครองที่ท่านประทานให้ช่างดุร้ายเหลือเกิน พวกข้าแทบจะไม่มีชีวิตรอดอยู่แล้ว"
เทพเจ้าซุสทรงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด "พวกเจ้าช่างไม่รู้จักพอ! เมื่อมีผู้ปกครองที่อ่อนโยน พวกเจ้าก็ไม่พอใจ กลับต้องการผู้ปกครองที่แข็งแกร่ง บัดนี้เมื่อได้ผู้ปกครองที่แข็งแกร่งและดุร้ายสมใจแล้ว ก็อย่าได้มาร้องขอสิ่งใดอีกเลย พวกเจ้าจงทนรับผลจากการกระทำของพวกเจ้าเถิด!"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ อย่าโลภมากหรือต้องการในสิ่งที่เกินตัว เพราะบางครั้ง สิ่งที่ปรารถนา อาจนำมาซึ่งความทุกข์ยากแก่ตนเองได้
?
หมาจิ้งจอกกับอีกา
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่ง มี หมาจิ้งจอกตัวหนึ่ง ผู้ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าเล่ห์และฉลาดแกมโกง มันมักจะใช้อุบายหลอกล่อสัตว์อื่นเพื่อหาผลประโยชน์ให้ตัวเองเสมอ
วันหนึ่ง หมาจิ้งจอกเดินผ่านมาใต้ต้นไม้ใหญ่ และเห็น อีกาตัวหนึ่ง กำลังเกาะอยู่บนกิ่งไม้ อีกาตัวนั้นคาบ เนื้อชิ้นใหญ่ ชิ้นหนึ่งไว้ในปาก ดูน่ากินเป็นอย่างยิ่ง
หมาจิ้งจอกเห็นเนื้อชิ้นนั้นแล้วก็เกิดความอยากได้ขึ้นมาทันที แต่มันรู้ดีว่าอีกาตัวนั้นอยู่สูงเกินไป และไม่สามารถกระโดดไปถึงได้ มันจึงคิดอุบายที่จะหลอกเอาเนื้อชิ้นนั้นมาจากอีกา
หมาจิ้งจอกเดินเข้าไปใกล้ๆ ต้นไม้ แล้วเงยหน้ามองอีกา พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและเยินยออย่างที่สุด
"โอ้! ท่านอีกาผู้สง่างาม! ท่านช่างสวยงามเหลือเกิน ขนของท่านดำขลับราวกับรัตติกาล ปีกของท่านก็กว้างใหญ่สง่างามราวกับพญานก" หมาจิ้งจอกกล่าวชมเชยเกินจริง
อีกาได้ยินคำเยินยอก็รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก มันยืดอกขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ แต่ก็ยังคงคาบเนื้อชิ้นนั้นไว้ในปากอย่างแน่นหนา
หมาจิ้งจอกเห็นว่าอีกาเริ่มหลงระเริงไปกับคำเยินยอของตน จึงกล่าวชมต่อไปอีก "ข้าได้ยินมาว่า เสียงของท่านก็ไพเราะจับใจยิ่งนัก ไพเราะกว่านกตัวใดๆ ในป่านี้เสียอีก ข้าไม่เคยได้ยินเสียงร้องที่งดงามเช่นท่านเลย! ท่านจะกรุณาร้องเพลงให้ข้าฟังได้ไหม เพื่อที่ข้าจะได้ชื่นชมความไพเราะของเสียงท่านให้เต็มที่"
อีกาผู้หลงระเริงไปกับคำยกยอ หลงคิดว่าตนเองมีเสียงที่ไพเราะอย่างที่หมาจิ้งจอกกล่าว กาอยากจะอวดเสียงร้องอันไพเราะของตนเองต่อหน้าหมาจิ้งจอก มันจึงลืมไปว่าตนเองกำลังคาบเนื้อชิ้นโตอยู่ในปาก
เมื่อตัดสินใจจะร้องเพลง อีกาก็ อ้าปาก ทันใดนั้นเอง เนื้อชิ้นใหญ่ก็ร่วงหล่นลงมา จากปากของอีกา ตกลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง
หมาจิ้งจอกไม่รอช้า มันรีบวิ่งเข้าไปคาบเนื้อชิ้นนั้น แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้อีกานั่งเสียดายและเสียใจอยู่บนกิ่งไม้ตามลำพัง ได้แต่โทษตัวเองในความหลงเชื่อคำเยินยอ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงระวังคำเยินยอประจบสอพลอ เพราะบ่อยครั้งที่ คำหวานเหล่านั้นซ่อนเร้นเจตนาไม่ดี เอาไว้ และความหลงระเริงในคำชมอาจทำให้เราต้องสูญเสียบางสิ่งไปโดยไม่รู้ตัว
ชาวนากับงู
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ หิมะโปรยปรายลงมาปกคลุมทั่วพื้นดิน สัตว์ต่างๆ พากันหลบหนาวอยู่ในรังอย่างเงียบเหงา
ชาวนาผู้ยากจนคนหนึ่ง กำลังเดินกลับจากทำงานในไร่นา ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและหนาวสั่น ระหว่างทาง เขาได้พบกับ งูตัวหนึ่ง นอนตัวแข็งทื่ออยู่บนพื้น งูตัวนั้นดูเหมือนจะหนาวตายเสียแล้ว
ชาวนาเห็นงูแล้วก็รู้สึกสงสารจับใจ เขาคิดว่าหากปล่อยทิ้งไว้ งูคงจะต้องตายเป็นแน่ ด้วยจิตใจที่เมตตา ชาวนาจึงก้มลงอุ้มงูตัวนั้นขึ้นมา หวังจะช่วยให้มันรอดชีวิต
เขาประคองงูที่ตัวเย็นเฉียบมาไว้ในอ้อมแขน พยายามให้ความอบอุ่นแก่ว่างูจะฟื้นคืนชีพ จากนั้นเขาก็รีบนำงูกลับบ้าน แล้ววางมันไว้ใกล้ๆ กับกองไฟที่กำลังลุกโชนอย่างระมัดระวัง เพื่อให้งูได้รับความอบอุ่นอย่างเต็มที่
ไม่นานนัก เมื่อได้รับความอบอุ่นจากกองไฟ งูที่เคยตัวแข็งทื่อก็เริ่มขยับตัวได้ มันฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอย่างช้าๆ
แต่เมื่อฟื้นคืนสติได้แล้ว แทนที่งูจะสำนึกในบุญคุณของชาวนา มันกลับลืมสิ้นซึ่งความเมตตาที่ได้รับมา พลัน ฉกกัดชาวนา ที่เพิ่งช่วยชีวิตมันไว้อย่างไม่ปรานี พิษร้ายของงูทำให้ชาวนาได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส และในที่สุดเขาก็ล้มลงสิ้นใจตาย
ก่อนตาย ชาวนาได้แต่รำพึงรำพันด้วยความเจ็บปวดและผิดหวังในความเมตตาของตนเองว่า "ช่างโง่เขลาเสียจริง! ที่ข้าไม่รู้จักแยกแยะ ว่าใครควรมอบความเมตตาให้ และใครไม่สมควรได้รับมัน!"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บางครั้ง การช่วยเหลือผู้ที่มีจิตใจชั่วร้าย อาจนำภัยมาสู่ตนเองได้ และ จงรู้จักเลือกคบคน และไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนที่จะมอบความเมตตาให้แก่ผู้ใด เพราะบางคนอาจไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ และอาจทำร้ายเราได้ในที่สุด
หมาจิ้งจอกกับอีกา
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่ง มี หมาจิ้งจอกตัวหนึ่ง ผู้ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าเล่ห์และฉลาดแกมโกง มันมักจะใช้อุบายหลอกล่อสัตว์อื่นเพื่อหาผลประโยชน์ให้ตัวเองเสมอ
วันหนึ่ง หมาจิ้งจอกเดินผ่านมาใต้ต้นไม้ใหญ่ และเห็น อีกาตัวหนึ่ง กำลังเกาะอยู่บนกิ่งไม้ อีกาตัวนั้นคาบ เนยแข็งชิ้นใหญ่ ชิ้นหนึ่งไว้ในปาก ดูน่ากินเป็นอย่างยิ่ง
หมาจิ้งจอกเห็นเนยแข็งชิ้นนั้นแล้วก็เกิดความอยากได้ขึ้นมาทันที แต่มันรู้ดีว่าอีกาตัวนั้นอยู่สูงเกินไป และไม่สามารถกระโดดไปถึงได้ มันจึงคิดอุบายที่จะหลอกเอาเนยแข็งชิ้นนั้นมาจากอีกา
หมาจิ้งจอกเดินเข้าไปใกล้ ๆ ต้นไม้ แล้วเงยหน้ามองอีกา พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและเยินยอ
"โอ้! ท่านอีกาผู้สง่างาม! ท่านช่างสวยงามเหลือเกิน ขนของท่านเงางามราวกับผ้าไหม ปีกของท่านก็กว้างใหญ่สง่างาม" หมาจิ้งจอกกล่าวชมเชย
อีกาได้ยินคำเยินยอก็รู้สึกพึงพอใจ แต่มันก็ยังคงคาบเนยแข็งไว้อย่างแน่นหนา
หมาจิ้งจอกเห็นว่าอีกาเริ่มคล้อยตาม จึงกล่าวชมต่อไป "ข้าได้ยินว่า เสียงของท่านก็ไพเราะจับใจยิ่งนัก ไพเราะกว่านกตัวใด ๆ ในป่านี้เสียอีก ข้าไม่เคยได้ยินเสียงร้องที่งดงามเช่นท่านเลย! ท่านจะกรุณาร้องเพลงให้ข้าฟังได้ไหม เพื่อที่ข้าจะได้ชื่นชมความไพเราะของเสียงท่าน"
อีกาผู้หลงระเริงไปกับคำเยินยอของหมาจิ้งจอก คิดอยากจะอวดเสียงร้องอันไพเราะของตนเองต่อหน้าหมาจิ้งจอก จึงลืมไปว่าตนเองกำลังคาบเนยแข็งอยู่ในปาก
เมื่อตัดสินใจจะร้องเพลง อีกาก็ อ้าปาก ทันใดนั้นเอง เนยแข็งชิ้นโตก็ร่วงหล่นลงมา จากปากของอีกา ตกลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง
หมาจิ้งจอกไม่รอช้า มันรีบวิ่งเข้าไปคาบเนยแข็งชิ้นนั้น แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้อีกานั่งเสียดายและเสียใจอยู่บนกิ่งไม้ตามลำพัง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงระวังคำเยินยอประจบสอพลอ เพราะบ่อยครั้งที่ คำหวานนั้นซ่อนเล่ห์เหลี่ยมและเจตนาไม่ดี เอาไว้ และความหลงระเริงในคำชมอาจทำให้เราต้องสูญเสียบางสิ่งไปโดยไม่รู้ตัว
สุนัขกับเงา
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มี สุนัขตัวหนึ่ง กำลังคาบกระดูกชิ้นโตที่เพิ่งได้มา มันรู้สึกดีใจและหวงแหนกระดูกชิ้นนั้นเป็นอย่างมาก จึงเดินหาที่เงียบๆ เพื่อจะกินกระดูกอย่างสบายใจ
มันเดินมาถึงลำธารเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ใสสะอาด น้ำนิ่งจนมองเห็นภาพสะท้อนได้ชัดเจน ขณะที่มันกำลังจะข้ามลำธาร สุนัขก็ก้มลงมองไปในน้ำ และเห็นภาพสะท้อนของตัวมันเอง พร้อมกับกระดูกชิ้นโตในปากของภาพสะท้อนนั้น
ด้วยความโลภและไม่รู้จักคิด สุนัขเข้าใจผิดคิดว่ามี สุนัขอีกตัวหนึ่ง กำลังคาบกระดูกที่ใหญ่กว่าและน่ากินกว่าอยู่ในน้ำ มันรู้สึกอิจฉาและอยากจะได้กระดูกชิ้นนั้นมาเป็นของตน
โดยไม่ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน สุนัขก็ อ้าปากเห่า หวังจะแย่งชิงกระดูกจากเงาในน้ำ ทันใดนั้นเอง กระดูกชิ้นโตที่อยู่ในปากของมันก็ร่วงหล่นลงไปในลำธาร แล้วจมหายไปในน้ำอย่างรวดเร็ว
สุนัขมองดูน้ำที่ขุ่นมัว แล้วก็มองดูกระดูกที่จมหายไป ด้วยความเสียใจและเสียดายอย่างที่สุด มันได้แต่ยืนร้องโหยหวนอยู่ริมลำธาร เพราะไม่เหลืออะไรให้กินอีกแล้ว นอกจากความว่างเปล่าและความผิดหวังในความโง่เขลาของตนเอง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ อย่าโลภมากหรืออยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตน เพราะบ่อยครั้งที่ ความโลภอาจทำให้เราสูญเสียแม้กระทั่งสิ่งที่มีอยู่แล้วไป
กากับเหยือกน้ำ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในช่วงฤดูร้อนอันแสนยาวนานและแห้งแล้ง มี กาตัวหนึ่ง บินร่อนไปทั่วท้องฟ้าเพื่อหาน้ำดื่ม มันบินไปไกลแสนไกล จนรู้สึกเหนื่อยอ่อนและกระหายน้ำแทบขาดใจ
ในที่สุด กาก็เหลือบไปเห็น เหยือกน้ำใบหนึ่ง ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ด้วยความดีใจ มันรีบโผลงไปเกาะที่ขอบเหยือกทันที
แต่เมื่อก้มลงมอง กาก็ต้องผิดหวัง เพราะน้ำในเหยือกนั้นมีอยู่น้อยมาก น้อยเสียจนปากของมันเอื้อมไม่ถึง ไม่ว่าจะพยายามก้มลงไปลึกแค่ไหน ก็ทำได้เพียงแค่เฉียดๆ ผิวน้ำเท่านั้น
กาพยายามทุกวิถีทางที่จะดื่มน้ำให้ได้ มันพยายามเอียงเหยือก พยายามดันเหยือกให้ล้ม แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะเหยือกหนักและใหญ่เกินกว่าที่กาจะทำได้
กานั่งมองน้ำในเหยือกด้วยความสิ้นหวัง มันคิดแล้วคิดอีกว่าจะทำอย่างไรดี ในที่สุด ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของมัน
กามองไปรอบๆ และเห็น ก้อนกรวดเล็กๆ จำนวนมากอยู่ใกล้ๆ มันจึงใช้จงอยปากคาบก้อนกรวดทีละก้อน แล้วค่อยๆ ทิ้งลงไปในเหยือกน้ำทีละก้อนๆ
ก้อนกรวดค่อยๆ จมลงไปในน้ำ ทำให้ระดับน้ำในเหยือกค่อยๆ สูงขึ้นทีละน้อย กาทำเช่นนี้อยู่เป็นเวลานาน ด้วยความอดทนและความพยายามอย่างไม่ย่อท้อ
ในที่สุด ระดับน้ำในเหยือกก็สูงพอที่ปากของกาจะเอื้อมถึง กาดื่มน้ำจนอิ่มหนำสำราญ มันรู้สึกสดชื่นและดีใจเป็นอย่างมากที่ความพยายามของมันสัมฤทธิ์ผล
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น แม้ในยามที่เราเผชิญปัญหาที่ดูเหมือนจะแก้ไขไม่ได้ หากเราใช้ สติปัญญาและความพยายาม อย่างไม่ย่อท้อ เราก็จะสามารถเอาชนะอุปสรรคและบรรลุเป้าหมายได้ในที่สุด
หมาป่ากับลูกแกะ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ริมลำธารใสสะอาดแห่งหนึ่ง มี หมาป่าตัวหนึ่ง กำลังกระหายน้ำเป็นอย่างมาก มันจึงเดินลงไปดื่มน้ำที่ต้นน้ำ
ไม่ไกลจากหมาป่าลงไปทางท้ายน้ำ มี ลูกแกะตัวหนึ่ง กำลังยืนดื่มน้ำอย่างสบายใจเช่นกัน
หมาป่าผู้หิวโหยและมีนิสัยเจ้าเล่ห์ เมื่อเห็นลูกแกะตัวอ้วนพี ก็คิดหาทางจับลูกแกะกิน จึงแกล้งทำเป็นโกรธแล้วร้องตะโกนขึ้นไปว่า
"เจ้าลูกแกะตัวจ้อย! เจ้าบังอาจมาทำให้ข้าน้ำขุ่นได้อย่างไร! ข้าดื่มน้ำอยู่ตรงนี้ เจ้ากลับมายืนทำน้ำขุ่นอยู่ท้ายน้ำ! ข้าไม่มีน้ำสะอาดดื่มเลย!" หมาป่ากล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน
ลูกแกะตัวน้อยตกใจมาก ด้วยความบริสุทธิ์ใจจึงรีบตอบกลับไปว่า
"นายท่านผู้ทรงอำนาจ ท่านเข้าใจผิดแล้วขอรับ! ข้าดื่มน้ำอยู่ท้ายน้ำ ส่วนท่านอยู่ต้นน้ำ กระแสน้ำย่อมไหลจากต้นน้ำลงสู่ท้ายน้ำอยู่แล้ว ข้าจะทำให้ท่านน้ำขุ่นได้อย่างไรกันเล่าขอรับ"
หมาป่าได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปชั่วครู่ แต่มันก็ยังไม่ละความพยายามที่จะหาเหตุผลมาปรักปรำลูกแกะ
"ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้! เช่นนั้นคงเป็นเรื่องอื่น! เมื่อปีกลาย เจ้าได้กล่าวร้ายข้าลับหลังใช่หรือไม่!" หมาป่ากล่าวหาอีกครั้ง
ลูกแกะได้ยินดังนั้นก็ยิ่งงุนงงไปใหญ่ "นายท่านขอรับ เมื่อปีกลายข้ายังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ! ข้าเพิ่งเกิดเมื่อต้นปีนี้เอง ข้าจะไปกล่าวร้ายท่านได้อย่างไรกัน"
หมาป่าจนด้วยเหตุผลที่จะกล่าวหาลูกแกะ แต่ด้วยความหิวและต้องการจะกินลูกแกะให้ได้ มันจึงไม่รอช้า และพูดออกมาอย่างหน้าไม่อาย
"ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าก็ต้องเป็นผู้ผิด! ไม่ใช่เจ้าก็ต้องเป็นพ่อของเจ้าที่เคยกล่าวร้ายข้าไว้ก่อนหน้านี้! ไม่ต้องพูดมากแล้ว ข้าจะกินเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ!"
พูดจบ หมาป่าก็พุ่งเข้าใส่ลูกแกะทันที ลูกแกะไม่มีทางสู้ ได้แต่ร้องด้วยความหวาดกลัว และในที่สุดก็ตกเป็นเหยื่อของหมาป่าผู้ไร้เหตุผล
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้ที่คิดจะทำความชั่ว ย่อมหาเหตุผลมาปรักปรำผู้อื่นได้เสมอ ไม่ว่าเหตุผลนั้นจะฟังขึ้นหรือไม่ก็ตาม และ ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแรงกว่าและไม่ยอมรับฟังเหตุผล ย่อมยากที่จะหลีกหนีชะตากรรมได้
ชาวนากับงู
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ หิมะโปรยปรายลงมาปกคลุมทั่วพื้นดิน สัตว์ต่างๆ พากันหลบหนาวอยู่ในรังอย่างเงียบเหงา
ชาวนาผู้ยากจนคนหนึ่ง กำลังเดินกลับจากทำงานในไร่นา ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและหนาวสั่น ระหว่างทาง เขาได้พบกับ งูตัวหนึ่ง นอนตัวแข็งทื่ออยู่บนพื้น งูตัวนั้นดูเหมือนจะหนาวตายเสียแล้ว
ชาวนาเห็นงูแล้วก็รู้สึกสงสารจับใจ เขาคิดว่าหากปล่อยทิ้งไว้ งูคงจะต้องตายเป็นแน่ ด้วยจิตใจที่เมตตา ชาวนาจึงก้มลงอุ้มงูตัวนั้นขึ้นมา หวังจะช่วยให้มันรอดชีวิต
เขาประคองงูที่ตัวเย็นเฉียบมาไว้ในอ้อมแขน พยายามให้ความอบอุ่นแก่ว่างูจะฟื้นคืนชีพ จากนั้นเขาก็รีบนำงูกลับบ้าน แล้ววางมันไว้ใกล้ๆ กับกองไฟที่กำลังลุกโชนอย่างระมัดระวัง เพื่อให้งูได้รับความอบอุ่นอย่างเต็มที่
ไม่นานนัก เมื่อได้รับความอบอุ่นจากกองไฟ งูที่เคยตัวแข็งทื่อก็เริ่มขยับตัวได้ มันฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอย่างช้าๆ
แต่เมื่อฟื้นคืนสติได้แล้ว แทนที่งูจะสำนึกในบุญคุณของชาวนา มันกลับลืมสิ้นซึ่งความเมตตาที่ได้รับมา พลัน ฉกกัดชาวนา ที่เพิ่งช่วยชีวิตมันไว้อย่างไม่ปรานี พิษร้ายของงูทำให้ชาวนาได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส และในที่สุดเขาก็ล้มลงสิ้นใจตาย
ก่อนตาย ชาวนาได้แต่รำพึงรำพันด้วยความเจ็บปวดและผิดหวังในความเมตตาของตนเองว่า "ช่างโง่เขลาเสียจริง! ที่ข้าไม่รู้จักแยกแยะ ว่าใครควรมอบความเมตตาให้ และใครไม่สมควรได้รับมัน!"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บางครั้ง การช่วยเหลือผู้ที่มีจิตใจชั่วร้าย อาจนำภัยมาสู่ตนเองได้ และ จงรู้จักเลือกคบคน และไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนที่จะมอบความเมตตาให้แก่ผู้ใด เพราะบางคนอาจไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ และอาจทำร้ายเราได้ในที่สุด
กระต่ายตื่นตูม
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่ง มี กระต่ายตัวหนึ่ง กำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ใต้ต้นตาลใกล้ชายป่า มันหลับสบายจนเคลิ้มฝันไปต่างๆ นานา
ในขณะที่กระต่ายกำลังหลับอย่างสบายอยู่นั้น ก็มี ลูกมะพร้าวลูกหนึ่ง หล่นลงมาจากต้นไม้ เสียงดัง "ตูม!" กระต่ายตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจสุดขีด มันคิดว่าเสียงที่ได้ยินนั้นคือ ฟ้าถล่ม โลกกำลังจะแตกสิ้นแล้ว
ด้วยความตื่นตระหนก กระต่ายไม่รอช้า มันรีบวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต วิ่งไปพลางร้องตะโกนไปพลางว่า "โลกถล่มแล้ว! โลกถล่มแล้ว! พวกเราต้องหนีเร็ว!"
สัตว์อื่นๆ ที่กำลังหากินอยู่ในป่าได้ยินเสียงกระต่ายร้องตะโกนด้วยความหวาดกลัว ก็พากันแตกตื่นตามไปด้วย เมื่อเห็นกระต่ายวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ก็พลอยเข้าใจผิดคิดว่าโลกกำลังจะแตกจริงๆ สัตว์เหล่านั้นจึงพากันวิ่งตามกระต่ายไปด้วยความกลัวสุดขีด
ฝูงสัตว์ใหญ่น้อยทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น กวาง เก้ง หมูป่า หมี เสือ ต่างพากันวิ่งหนีอย่างอลหม่าน เสียงฝีเท้าของสัตว์จำนวนมากดังกึกก้องไปทั่วป่า ทำให้บรรยากาศยิ่งโกลาหลและน่ากลัวมากขึ้นไปอีก
ในที่สุด พญาราชสีห์ เจ้าป่าผู้ทรงปัญญา ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายและเห็นฝูงสัตว์จำนวนมากกำลังวิ่งหนีอย่างแตกตื่น ก็รู้สึกสงสัย มันจึงหยุดยืนขวางทางฝูงสัตว์ แล้วร้องคำรามด้วยเสียงอันดังเพื่อหยุดพวกมัน
"หยุดเดี๋ยวนี้! เกิดอะไรขึ้นกัน! เหตุใดพวกเจ้าจึงพากันวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้!" พญาราชสีห์ถามด้วยน้ำเสียงกึกก้อง
ฝูงสัตว์พากันหยุดยืนตัวสั่น ด้วยความกลัวทั้งพญาราชสีห์และความหวาดกลัวที่โลกจะถล่ม
กระต่ายที่วิ่งมาเป็นผู้นำ ได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วตอบว่า "นายท่านผู้ยิ่งใหญ่! โลกถล่มแล้ว! ข้าได้ยินเสียงดังตูม! ฟ้ากำลังจะพังลงมาแล้วขอรับ!"
พญาราชสีห์เห็นดังนั้นก็รู้ได้ทันทีว่ากระต่ายคงจะตื่นตูมไปเอง มันจึงกล่าวอย่างใจเย็นว่า "พวกเจ้าอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปเลย ไม่มีสิ่งใดถล่มลงมาหรอก หากไม่เห็นกับตาตนเอง ก็อย่าเพิ่งเชื่อคำพูดของผู้อื่น"
จากนั้น พญาราชสีห์ก็สอบถามที่มาของเสียงจากกระต่าย และพาฝูงสัตว์ย้อนกลับไปดูยังจุดที่กระต่ายนอนหลับอยู่
เมื่อไปถึง ก็พบเพียง ลูกมะพร้าวลูกใหญ่ ที่หล่นลงมาจากต้นตาล เสียงดัง "ตูม!" ที่กระต่ายได้ยินนั้น แท้จริงแล้วก็คือเสียงของลูกมะพร้าวหล่นลงกระทบพื้นดินนั่นเอง
ฝูงสัตว์ต่างพากันโล่งอกและหัวเราะในความตื่นตูมของกระต่าย ส่วนกระต่ายก็ได้แต่ยืนหน้าแดงด้วยความละอายใจ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงมีสติและไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนที่จะเชื่อหรือกระทำการใดๆ ตามผู้อื่น อย่าตื่นตูมตกใจง่าย และ การไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยตนเอง อาจนำมาซึ่งความเข้าใจผิดและความวุ่นวายได้
เด็กเลี้ยงแกะกับหมาป่า (เรื่องราวที่กลับตาลปัตร)
นานมาแล้ว ณ ชายป่าแห่งหนึ่ง มี เด็กเลี้ยงแกะคนหนึ่ง นามว่า สมหมาย เขามีนิสัยชอบพูดโกหกและเล่นพิเรนทร์เป็นประจำ สมหมายมักจะแกล้งร้องตะโกนว่า "ช่วยด้วย! หมาป่ามาแล้ว!" อยู่บ่อยครั้ง เพื่อให้ชาวบ้านแตกตื่นและวิ่งออกมาช่วยเหลือ แต่เมื่อชาวบ้านมาถึง ก็พบว่าไม่มีหมาป่าจริงๆ ทำให้ชาวบ้านเริ่มเบื่อหน่ายและไม่เชื่อคำพูดของสมหมายอีกต่อไป
วันหนึ่ง สมหมายกำลังนั่งเฝ้าฝูงแกะอยู่ตามลำพัง รู้สึกเบื่อหน่ายจึงคิดจะเล่นพิเรนทร์อีกครั้ง เขากำลังจะอ้าปากร้องตะโกนว่า "หมาป่ามาแล้ว!" แต่พลันก็เห็น หมาป่าตัวหนึ่ง กำลังย่องเข้ามาใกล้ฝูงแกะจริงๆ!
สมหมายตกใจจนตัวแข็งทื่อ เขาพยายามร้องขอความช่วยเหลือสุดเสียง "ช่วยด้วย! หมาป่าจริงๆ มาแล้ว!"
แต่คราวนี้ ไม่มีชาวบ้านคนใดออกมาช่วยเลย พวกเขาคิดว่าสมหมายกำลังเล่นตลกอีกครั้ง
หมาป่าเห็นสมหมายไม่มีใครช่วย ก็เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ สมหมายเริ่มรู้สึกถึงอันตรายที่แท้จริง เขากลัวมากและวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
แต่แล้ว สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หมาป่าตัวนั้นไม่ได้เข้าทำร้ายแกะ มันกลับเดินผ่านฝูงแกะไปอย่างสงบ และมุ่งหน้าไปยังโพรงไม้แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก
สมหมายที่วิ่งหนีมาได้ระยะหนึ่ง หันกลับไปมองด้วยความแปลกใจ เขาเห็นหมาป่าหายเข้าไปในโพรงไม้ จึงค่อยๆ ย่องเข้าไปดูด้วยความสงสัย
เมื่อสมหมายไปถึงโพรงไม้ เขาก็เห็นภาพที่ไม่คาดคิด ลูกหมาป่าตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง กำลังนอนซมอยู่ข้างใน หมาป่าตัวที่สมหมายเจอเมื่อครู่นี้ กำลังเลียทำความสะอาดบาดแผลให้ลูกหมาป่า และมีแผลจากการถูกกับดักอยู่บนตัวมันเอง ดูเหมือนว่าหมาป่ากำลังจะพาลูกกลับบ้าน แต่บาดเจ็บจนเดินทางลำบาก
สมหมายมองดูเหตุการณ์นั้นด้วยความตกใจ เขาเข้าใจในทันทีว่าหมาป่าไม่ได้มาเพื่อทำร้ายแกะ แต่มันกำลังได้รับความทุกข์จากบาดแผลของมันเอง และความทุกข์ของลูกมัน
ความรู้สึกผิดและละอายใจเข้าครอบงำสมหมาย เขาสำนึกผิดที่เคยโกหกและตัดสินหมาป่าไปในทางไม่ดี สมหมายค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ หมาป่าอย่างช้าๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
"ท่านหมาป่า... ข้าขอโทษ... ข้าเคยเข้าใจท่านผิด"
หมาป่าเงยหน้าขึ้นมองสมหมายด้วยแววตาที่ไม่ได้ดุร้ายอย่างที่สมหมายเคยคิด สมหมายรวบรวมความกล้า เอื้อมมือไปสัมผัสบาดแผลบนตัวหมาป่า แล้วดึงเหล็กแหลมจากกับดักที่ฝังอยู่บนขาหมาป่าออกอย่างช้าๆ และเบามือที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นเขาก็รีบวิ่งกลับบ้านไปเอายาสมุนไพรและผ้ามาพันแผลให้หมาป่าและลูกหมาป่าอย่างประคบประหงม
เมื่อแผลของหมาป่าและลูกดีขึ้น หมาป่าและลูกก็เดินจากไปอย่างเงียบๆ ตั้งแต่นั้นมา สมหมายก็ไม่เคยพูดโกหกอีกเลย เขากลับกลายเป็น เด็กหนุ่มที่ซื่อสัตย์และมีเมตตา คอยช่วยเหลือทั้งคนและสัตว์ในป่า ชาวบ้านก็กลับมาเชื่อใจและรักสมหมายมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การพูดโกหกย่อมทำให้ผู้อื่นขาดความเชื่อถือ และ การตัดสินผู้อื่นเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก หรือจากอคติ อาจทำให้เราเข้าใจผิดและมองไม่เห็นความจริง แต่เหนือสิ่งอื่นใด การมีเมตตาและพร้อมให้อภัย ย่อมนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ดีงามเสมอ
ชายตัดฟืนกับขวานทอง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ชายป่าใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้นานาพรรณ มี ชายตัดฟืนผู้ยากจนคนหนึ่ง นามว่า บุญมา เขาเป็นคนขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์สุจริต และมีคุณธรรมประจำใจเสมอ ทุกวันบุญมาจะเข้าป่าไปตัดฟืนมาขายเพื่อเลี้ยงชีพและดูแลมารดาที่ชรา
วันหนึ่ง ขณะที่บุญมากำลังตัดฟืนอยู่ริมลำธาร ขวานเก่าๆ คู่ใจของเขาก็พลัด ตกลงไปในน้ำ ลำธารนั้นลึกและไหลเชี่ยว บุญมาพยายามงมหาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ เขาเสียใจมาก เพราะไม่มีเงินซื้อขวานเล่มใหม่ และไม่รู้จะทำมาหากินอย่างไรต่อไป
บุญมานั่งร้องไห้อยู่ริมลำธารด้วยความสิ้นหวัง พลันมี เทวดาผู้เฒ่าองค์หนึ่ง ปรากฏกายขึ้นจากผืนน้ำ เทวดามีใบหน้ายิ้มแย้มและมีเมตตา
"พ่อหนุ่มเอ๋ย เหตุใดเจ้าจึงมานั่งร้องไห้อยู่เช่นนี้" เทวดาถามด้วยเสียงนุ่มนวล
บุญมาเล่าเรื่องที่ขวานตกน้ำให้เทวดาฟัง เทวดาได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า "อย่าเสียใจไปเลยพ่อหนุ่ม ข้าจะช่วยเจ้า"
เทวดาดำดิ่งลงไปในลำธาร ไม่นานนักก็โผล่ขึ้นมาพร้อมกับ ขวานทองคำ เล่มหนึ่งที่เปล่งประกายระยิบระยับ เทวดายื่นขวานทองคำให้บุญมาแล้วถามว่า "ขวานเล่มนี้ใช่ของเจ้าหรือไม่"
บุญมามองดูขวานทองคำด้วยความตกใจ แต่เขาก็ส่ายหน้าแล้วตอบว่า "ไม่ใช่ขอรับท่านเทวดา ขวานเล่มนี้ไม่ใช่ของข้า ขวานของข้าเป็นขวานเหล็กเก่าๆ ขอรับ"
เทวดาฟังแล้วก็ยิ้มอย่างพอใจ แล้วดำลงไปในน้ำอีกครั้ง คราวนี้เทวดาโผล่ขึ้นมาพร้อมกับ ขวานเงิน ที่ส่องประกายวาววับ แล้วถามบุญมาอีกครั้ง "ขวานเล่มนี้ใช่ของเจ้าหรือไม่"
บุญมาก็ส่ายหน้าอีกครั้ง แล้วตอบด้วยความซื่อสัตย์ว่า "ไม่ใช่ขอรับท่านเทวดา ขวานเงินเล่มนี้ก็ไม่ใช่ของข้าเช่นกัน"
เทวดาเห็นดังนั้นก็ยิ้มกว้างขึ้น แล้วดำลงไปในน้ำเป็นครั้งที่สาม คราวนี้เทวดาโผล่ขึ้นมาพร้อมกับ ขวานเหล็กเก่าๆ เล่มหนึ่งที่คุ้นตา แล้วถามบุญมา "ขวานเล่มนี้ใช่ของเจ้าหรือไม่"
บุญมาเห็นขวานของตนเองก็ดีใจยิ่งนัก เขารีบรับขวานมาถือไว้ แล้วกล่าวขอบพระคุณเทวดาด้วยความซาบซึ้งใจ
"ใช่แล้วขอรับท่านเทวดา! ขวานเล่มนี้แหละคือขวานของข้า ขอบพระคุณท่านเทวดาเป็นอย่างสูงที่เมตตาช่วยเหลือข้าพเจ้า"
เทวดาเห็นความซื่อสัตย์ของบุญมา ก็ยิ้มด้วยความปิติยินดี แล้วกล่าวว่า "เจ้าเป็นคนซื่อสัตย์และมีคุณธรรมมากนักพ่อหนุ่ม ด้วยความซื่อสัตย์ของเจ้า ข้าจึงจะมอบขวานทองคำและขวานเงินทั้งสองเล่มนี้ให้เจ้าเป็นรางวัล จงนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์เถิด"
บุญมาตกใจและดีใจเป็นอย่างมาก เขากราบขอบพระคุณเทวดาอีกครั้ง จากนั้นเทวดาก็หายลับไป
บุญมานำขวานทั้งสามเล่มกลับบ้าน เขานำขวานทองคำและขวานเงินไปขาย นำเงินที่ได้มาสร้างบ้านให้มารดาที่ชรา ซื้อที่ดินทำกิน และแบ่งปันช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากไร้ ทำให้ชาวบ้านอยู่ดีกินดีกันถ้วนหน้า บุญมากลายเป็นเศรษฐีผู้มั่งคั่ง แต่เขาก็ยังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะ และไม่เคยลืมความซื่อสัตย์และเมตตาของตนเองเลย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความซื่อสัตย์สุจริตนั้นเป็นคุณธรรมอันประเสริฐ และ ผู้ที่มีคุณธรรมย่อมได้รับผลตอบแทนที่ดีงาม แม้จะเริ่มต้นจากความยากลำบากก็ตาม
เด็กน้อยกับดวงดาว
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่กลางหุบเขา มีเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งชื่อ ฟ้าใส เขามีจิตใจอ่อนโยนและช่างสังเกต ทุกคืนฟ้าใสจะชอบนั่งมองดวงดาวนับล้านที่ส่องแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้า เขาใฝ่ฝันอยากจะเด็ดดาวมาเก็บไว้ในมือสักดวงหนึ่ง
วันหนึ่ง ฟ้าใสเดินเล่นอยู่ในป่าลึก และได้พบกับ ดอกไม้ประหลาดดอกหนึ่ง ดอกไม้นั้นเปล่งแสงเรืองรองคล้ายดวงดาวที่ตกลงมายังโลก ฟ้าใสรู้สึกทึ่งในความงามของมัน จึงค่อยๆ เด็ดดอกไม้นั้นมาถือไว้ในมือ
ทันใดนั้น ดอกไม้ก็เปล่งแสงเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม แล้วมีเสียงเล็กๆ ดังขึ้นมาว่า "เจ้าฟ้าใสเอ๋ย ด้วยความปรารถนาอันบริสุทธิ์ของเจ้า ข้าจะให้พรเจ้าหนึ่งข้อ เจ้าอยากได้อะไรจงเอ่ยมาเถิด"
ฟ้าใสตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าเสียงนั้นไม่ได้ทำอันตรายใดๆ เขาก็คิดทบทวนอย่างถี่ถ้วน เขานึกถึงหมู่บ้านที่แห้งแล้ง ผู้คนเดือดร้อนจากความอดอยาก เขาไม่ได้ขอสมบัติหรือความร่ำรวยให้ตัวเอง แต่กลับเอ่ยปากขอว่า "ข้าขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล เพื่อให้พืชผลในหมู่บ้านของข้าอุดมสมบูรณ์ และชาวบ้านของข้าจะได้ไม่อดอยากอีกต่อไปขอรับ"
ดอกไม้ประหลาดได้ยินคำขอของฟ้าใสก็เปล่งแสงเจิดจ้ายิ่งขึ้นอีกครั้ง "จิตใจของเจ้าช่างประเสริฐยิ่งนัก ฟ้าใส พรของเจ้าจะเป็นจริงดังที่ปรารถนา"
พูดจบ ดอกไม้นั้นก็ค่อยๆ หรี่แสงลง แล้วสลายหายไปในอากาศ
ตั้งแต่นั้นมา ฝนก็ตกลงมาอย่างชุ่มฉ่ำในหมู่บ้านของฟ้าใส พืชผลเจริญงอกงาม ผู้คนมีกินมีใช้ ไม่มีความอดอยากอีกต่อไป ทุกคนในหมู่บ้านต่างแปลกใจและดีใจกับความอุดมสมบูรณ์ที่กลับคืนมา
ฟ้าใสเก็บเรื่องราวของดอกไม้ประหลาดไว้เป็นความลับ แต่เขาก็ยังคงนั่งมองดวงดาวบนท้องฟ้าทุกคืน ด้วยความสุขที่ได้เห็นผู้คนในหมู่บ้านมีรอยยิ้ม และความสุขใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่ดีงาม
เวลาผ่านไปหลายปี ฟ้าใสเติบโตเป็นชายหนุ่มผู้มีปัญญาและเมตตา เขายังคงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และคอยช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้านเสมอ ความดีงามของฟ้าใสเป็นที่กล่าวขานสืบต่อกันมา ทำให้หมู่บ้านแห่งนั้นเป็นหมู่บ้านที่สงบสุขและอุดมสมบูรณ์ตลอดไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การให้ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ และปรารถนาดีต่อผู้อื่น ย่อมนำมาซึ่งสิ่งดีงามอย่างแท้จริง และ ความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การได้ครอบครอง แต่คือการได้เห็นผู้อื่นมีความสุขจากการกระทำของเรา
หนูน้อยหมวกแดงกับบทเรียนจากความไว้วางใจ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ชายป่าอันเงียบสงบ มีบ้านหลังเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของ หนูน้อยหมวกแดง เธอมีชื่อจริงว่า ลิตเติ้ลเรด แต่ทุกคนต่างเรียกเธอว่าหนูน้อยหมวกแดง เพราะเธอชอบสวมผ้าคลุมสีแดงสดที่คุณยายถักให้ หนูน้อยหมวกแดงเป็นเด็กที่น่ารัก สดใส และเชื่อฟัง แต่ก็ซื่อตรงจนบางครั้งก็กลายเป็นความใสซื่อจนเกินไป
วันหนึ่ง คุณแม่ของหนูน้อยหมวกแดงได้เตรียมขนมเค้กและไวน์ใส่ตะกร้า แล้วบอกกับเธอว่า "หนูน้อยหมวกแดงเอ๊ย วันนี้ยายของลูกไม่สบาย ลูกช่วยนำอาหารพวกนี้ไปเยี่ยมคุณยายที่บ้านท้ายป่าให้หน่อยนะลูก จำไว้นะ ไม่ต้องแวะคุยกับใครข้างทาง แล้วก็เดินอยู่แต่ในเส้นทางที่กำหนดไว้เท่านั้นนะลูก"
หนูน้อยหมวกแดงรับคำคุณแม่ แล้วออกเดินทางอย่างร่าเริง เธอกระโดดโลดเต้นไปตามทางเดินแคบๆ ในป่าใหญ่ แสงแดดรำไรส่องลอดกิ่งไม้ลงมาสร้างลวดลายสวยงามบนพื้นดิน
ขณะที่หนูน้อยหมวกแดงกำลังเพลิดเพลินกับการเดินทาง เธอก็ได้พบกับ หมาป่าตัวหนึ่ง มันเป็นหมาป่าเจ้าเล่ห์และมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว เมื่อเห็นหนูน้อยหมวกแดงเดินผ่านมา ก็รู้สึกอยากจะกินเธอเป็นอาหาร
"อรุณสวัสดิ์ หนูน้อยหมวกแดง! เจ้าจะไปที่ไหนในป่าแต่เช้าตรู่นี้หรือ" หมาป่าทักทายด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลและเป็นมิตร
หนูน้อยหมวกแดงไม่รู้ว่าหมาป่าเป็นสัตว์ร้าย จึงตอบอย่างซื่อตรงว่า "อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านหมาป่า หนูจะเอาขนมกับไวน์ไปเยี่ยมคุณยายที่ไม่สบายที่บ้านท้ายป่าน่ะค่ะ"
หมาป่าได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ในใจ "โอ้! ช่างเป็นหลานที่น่ารักเสียจริง! แล้วบ้านคุณยายของเจ้าอยู่ไกลแค่ไหนเล่า"
หนูน้อยหมวกแดงบอกเส้นทางบ้านคุณยายอย่างละเอียด หมาป่าฟังแล้วก็คิดอุบายขึ้นมาได้
"จริงสิ หนูน้อยหมวกแดง ลองดูสิว่าดอกไม้ในป่านี้ช่างสวยงามน่ารักเสียจริง เหตุใดเจ้าไม่ลองเก็บดอกไม้เหล่านั้นไปมอบให้คุณยายของเจ้าเป็นของขวัญเล่า ยายของเจ้าคงจะดีใจยิ่งนัก" หมาป่าชักชวนพลางชี้ไปที่ทุ่งดอกไม้หลากสีที่อยู่นอกเส้นทาง
หนูน้อยหมวกแดงเห็นดอกไม้สวยๆ ก็หลงเชื่อคำชักชวนของหมาป่า เธอเดินออกนอกเส้นทางเพื่อไปเก็บดอกไม้ โดยไม่รู้เลยว่าหมาป่ากำลังวิ่งลัดป่าตรงไปยังบ้านคุณยายของเธอ
เมื่อหมาป่ามาถึงบ้านคุณยาย มันก็เคาะประตู คุณยายผู้ชราที่กำลังป่วยอยู่ ถามออกมาด้วยเสียงอ่อนแรงว่า "ใครกันนั่น"
หมาป่าแกล้งทำเสียงเล็กเสียงน้อยเลียนแบบหนูน้อยหมวกแดง "หนูเองค่ะคุณยาย หนูน้อยหมวกแดง เอาขนมกับไวน์มาให้ค่ะ"
คุณยายหลงเชื่อ จึงตอบกลับไปว่า "เข้ามาเถิดลูกรัก ประตูไม่ได้ล็อกหรอก"
หมาป่ารีบตรงเข้าไปในบ้าน แล้วจัดการ กลืนคุณยายทั้งตัว ลงไปในท้อง จากนั้นมันก็สวมชุดนอนของคุณยาย ใส่หมวกคลุมผม แล้วขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงแกล้งทำเป็นป่วย
ไม่นานนัก หนูน้อยหมวกแดงก็มาถึงบ้านคุณยาย เธอแปลกใจที่ประตูเปิดอยู่ และเมื่อเดินเข้าไปในห้อง ก็เห็นคุณยายนอนอยู่บนเตียง มีผ้าห่มคลุมมิดชิด
"คุณยายคะ เสียงคุณยายทำไมแปลกๆ ล่ะคะ" หนูน้อยหมวกแดงถาม
"เสียงแหบไปหน่อยน่ะลูกรัก ไม่สบาย" หมาป่าตอบด้วยเสียงที่พยายามดัดให้เล็กที่สุด
"แต่คุณยายคะ ดวงตาของคุณยายทำไมโตจังเลยคะ"
"เอาไว้มองเจ้าให้ชัดๆ ไงเล่าลูกรัก"
"แล้วคุณยายคะ หูของคุณยายทำไมใหญ่จังเลยคะ"
"เอาไว้ฟังเจ้าให้ชัดๆ ไงเล่าลูกรัก"
"แล้วคุณยายคะ ปากของคุณยายทำไมใหญ่จังเลยคะ!" หนูน้อยหมวกแดงถามด้วยความรู้สึกผิดปกติ
"เอาไว้ กินเจ้า ไงเล่า!" หมาป่าพูดพลางกระโดดเข้าใส่ แล้วจัดการ กลืนหนูน้อยหมวกแดงลงไปทั้งตัว เช่นเดียวกับคุณยาย
หมาป่ารู้สึกอิ่มหนำสำราญ จึงนอนหลับกรนเสียงดังลั่นบ้าน
ขณะนั้น นายพรานคนหนึ่ง เดินผ่านมา ได้ยินเสียงกรนดังผิดปกติจากบ้านคุณยาย จึงเดินเข้าไปดู เมื่อเห็นหมาป่าตัวใหญ่ท้องป่องนอนกรนอยู่บนเตียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น นายพรานจึงใช้ขวานผ่าท้องหมาป่าออก และช่วยคุณยายกับหนูน้อยหมวกแดงออกมาได้อย่างปลอดภัย
หนูน้อยหมวกแดงและคุณยายดีใจมากที่รอดชีวิตมาได้ ตั้งแต่นั้นมา หนูน้อยหมวกแดงก็ไม่เคยพูดคุยกับคนแปลกหน้า และไม่เคยเดินออกนอกเส้นทางที่ผู้ใหญ่สั่งสอนอีกเลย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงเชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ อย่าละเลยคำเตือนของพวกเขา และ อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า หรือหลงเชื่อคำชักชวนที่ดูดีจนเกินจริง เพราะความใสซื่อและ
หนูน้อยกับไม้กายสิทธิ์ของแม่มด
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่แสนสงบสุข มี หนูน้อยคนหนึ่ง ชื่อ มะลิ มะลิเป็นเด็กหญิงที่ร่าเริง สดใส และช่างฝัน สิ่งที่มะลิโปรดปรานที่สุดคือการวิ่งเล่นในทุ่งดอกไม้ใกล้บ้าน และจินตนาการว่าเธอเป็นนางฟ้าตัวน้อยที่มีเวทมนตร์
ไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก มี แม่มดใจร้ายตนหนึ่ง อาศัยอยู่ในกระท่อมเก่าๆ กลางป่า แม่มดไม่ชอบความสุขความสดใสของเด็กๆ และมักจะหาทางแกล้งพวกเขาอยู่เสมอ เมื่อเห็นมะลิวิ่งเล่นอย่างมีความสุข แม่มดก็รู้สึกริษยา และวางแผนที่จะทำให้มะลิเสียใจ
แม่มดรู้ดีว่ามะลิชอบเวทมนตร์และของวิเศษ จึงวางแผนล่อลวงด้วย ไม้กายสิทธิ์ของนางเอง แม่มดร่ายมนตร์สะกดเล็กน้อยเพื่อให้ไม้กายสิทธิ์เปล่งแสงระยิบระยับ และวางทิ้งไว้บนก้อนหินใหญ่กลางทางเดินในป่าที่มะลิชอบไปวิ่งเล่น แล้วแม่มดก็ซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ รอคอยให้มะลิมาติดกับ
เช้าวันรุ่งขึ้น มะลิวิ่งเล่นไปตามทางเดินในป่าอย่างร่าเริงเหมือนเคย ทันใดนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นแสงระยิบระยับที่ก้อนหินใหญ่ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็พบกับ ไม้กายสิทธิ์ ที่สวยงามและเปล่งแสงวิบวับ มะลิเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น เธอไม่เคยเห็นของวิเศษเช่นนี้มาก่อน
มะลิหยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาถือไว้ในมืออย่างเบามือ เธอแกว่งไม้กายสิทธิ์ไปมาอย่างสนุกสนาน และจินตนาการว่าเธอสามารถร่ายเวทมนตร์เสกให้ดอกไม้เต้นระบำ หรือทำให้ผีเสื้อโบยบินได้
ขณะที่มะลิกำลังเพลิดเพลินกับการเล่นไม้กายสิทธิ์อยู่นั้น แม่ของมะลิที่ออกมาตามหาก็เดินผ่านมาพอดี เมื่อแม่เห็นมะลิกำลังเล่นไม้กายสิทธิ์ที่แม่มดวางล่อไว้ ก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือกับดักของแม่มด เพราะไม้กายสิทธิ์ของแม่มดนั้นมีพลังชั่วร้ายซ่อนอยู่ หากใครนำมาเล่นโดยไม่รู้ตัว อาจเกิดอันตรายได้
แม่ของมะลิรู้สึกตกใจและโกรธมากที่แม่มดคิดจะทำร้ายลูกสาว แต่ก็พยายามเก็บอารมณ์ไว้ แล้วเดินเข้าไปหามะลิด้วยใบหน้าเรียบเฉย
"มะลิเอ๊ย นั่นอะไรอยู่ในมือลูกน่ะ" แม่ถามด้วยน้ำเสียงที่ผิดปกติ
มะลิยื่นไม้กายสิทธิ์ให้แม่ดูด้วยความภูมิใจ "ดูสิคะแม่ หนูเจอไม้กายสิทธิ์วิเศษด้วยค่ะ หนูจะเป็นนางฟ้าตัวน้อย!"
แม่ของมะลิถอนหายใจเฮือกใหญ่ ค่อยๆ หยิบไม้กายสิทธิ์ออกจากมือมะลิ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "ไม้กายสิทธิ์เล่มนี้ไม่ใช่ของดีนะลูก นี่เป็นของของแม่มดใจร้าย! ลูกรู้ไหมว่าการหยิบฉวยของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นเป็นสิ่งไม่ดี และยิ่งเป็นของของแม่มด มันยิ่งอันตรายมาก!"
มะลิก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด เธอไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอทำนั้นเป็นสิ่งไม่ดี และไม่รู้ว่าไม้กายสิทธิ์นั้นเป็นของแม่มด
แม่ของมะลิไม่ได้ลงโทษมะลิด้วยการตี แต่ลงโทษด้วยการ ให้มะลินั่งนิ่งๆ อยู่ในบ้านเป็นเวลาหนึ่งวัน โดยไม่อนุญาตให้ออกไปวิ่งเล่นข้างนอก และให้มะลิ ทบทวนความผิดของตนเอง ที่หยิบของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และที่สำคัญคือ ไม่เชื่อฟังคำสอนของแม่ที่เคยบอกให้ระวังสิ่งแปลกปลอมในป่า
ขณะที่มะลิกำลังนั่งเศร้าอยู่ในบ้าน แม่มดที่แอบมองอยู่หลังพุ่มไม้เห็นดังนั้น ก็หัวเราะอย่างสะใจ "ฮ่า ฮ่า ฮ่า! สมน้ำหน้า! โดนแม่ทำโทษแล้วไง!" แม่มดคิดว่าแผนการของตนสำเร็จแล้วที่ทำให้มะลิไม่สบายใจ
แต่แม่มดหารู้ไม่ว่า การลงโทษของแม่ไม่ได้ทำให้มะลิเสียใจเพียงชั่วคราว แต่กลับสอนบทเรียนอันล้ำค่าให้มะลิ มะลิเรียนรู้ที่จะรู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่หยิบฉวยของผู้อื่น และรู้จักระมัดระวังตัวมากขึ้น
ตั้งแต่นั้นมา มะลิก็เติบโตเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาด ซื่อสัตย์ และรู้จักระมัดระวังตัว ไม่หลงกลใครง่ายๆ ส่วนแม่มดก็ยังคงหัวเราะสะใจกับความเข้าใจผิดของตนเอง โดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว การกระทำของตนได้สร้างเด็กที่ดีคนหนึ่งขึ้นมา
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การกระทำผิดย่อมมีผลตามมา และ การลงโทษด้วยเหตุผลและคำสั่งสอนย่อมมีค่ากว่าการลงโทษด้วยความรุนแรง นอกจากนี้ยังสอนให้เห็นว่า การมีสติและไม่หลงเชื่อสิ่งล่อตาล่อใจง่ายๆ ย่อมช่วยให้เราพ้นจากอันตรายได้
ซินเดอเรลล่า: เจ้าหญิงผู้ถูกลืม
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดินแดนอันไกลโพ้น มีหญิงสาวรูปงามคนหนึ่ง นามว่า ซินเดอเรลล่า เธอเป็นเด็กดี จิตใจงดงาม และอ่อนโยน แต่โชคร้ายที่พ่อของเธอได้เสียชีวิตลง และเธอต้องอยู่ภายใต้การดูแลของ แม่เลี้ยงใจร้าย และ พี่สาวต่างแม่ สองคนซึ่งมีนิสัยอิจฉาริษยาและเกียจคร้าน
แม่เลี้ยงและพี่สาวทั้งสองมักจะใช้งานซินเดอเรลล่าอย่างหนักหน่วง พวกเธอสั่งให้ซินเดอเรลล่าทำงานบ้านทุกอย่าง ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ไม่ว่าจะเป็นกวาดพื้น ถูบ้าน ซักผ้า ทำอาหาร ไปจนถึงงานหนักๆ ที่ไม่มีใครอยากทำ ซินเดอเรลล่าถูกบังคับให้นอนในห้องใต้หลังคาเก่าๆ ส่วนพวกแม่เลี้ยงและพี่สาวกลับใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในบ้านหลังใหญ่
แม้จะถูกกลั่นแกล้งและใช้งานหนักเพียงใด ซินเดอเรลล่าก็ไม่เคยบ่น เธออดทนและยังคงเก็บความฝันเล็กๆ ไว้ในใจว่าสักวันหนึ่งเธอจะได้พบกับความสุข
อยู่มาวันหนึ่ง มีข่าวใหญ่แพร่สะพัดไปทั่วอาณาจักร เจ้าชายรูปงาม ผู้เป็นที่รักของประชาชน ได้จัดงานเลี้ยงเต้นรำขึ้นที่พระราชวัง เพื่อทรงเลือกเจ้าหญิงมาเป็นพระชายา สาวงามทั่วแคว้นต่างพากันตื่นเต้นและเตรียมตัวเข้าร่วมงาน
พี่สาวทั้งสองของซินเดอเรลล่าก็เช่นกัน พวกเธอต่างตื่นเต้นที่จะได้ไปงานเลี้ยงในวัง แต่กลับสั่งให้ซินเดอเรลล่าช่วยจัดเตรียมเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้พวกเธออย่างเร่งรีบ เมื่อซินเดอเรลล่าเอ่ยปากอยากไปงานเลี้ยงบ้าง แม่เลี้ยงก็หัวเราะเยาะและสั่งให้ซินเดอเรลล่าทำงานบ้านให้เสร็จสิ้น โดยบอกว่าเธอไม่มีชุดสวยๆ ที่จะใส่ไปงานหรอก
ซินเดอเรลล่านั่งร้องไห้อยู่คนเดียวในสวนด้วยความเสียใจ เธออยากไปงานเลี้ยงในวังเหลือเกิน แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
ทันใดนั้นเอง ก็มี นางฟ้าแม่ทูนหัว ปรากฏกายขึ้น นางฟ้ามีรอยยิ้มใจดี และกล่าวกับซินเดอเรลล่าว่า "อย่าร้องไห้เลยซินเดอเรลล่า ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดี ข้าจะช่วยให้เจ้าได้ไปงานเลี้ยงในวัง"
นางฟ้าใช้ไม้กายสิทธิ์ร่ายเวทมนตร์ เนรมิต ฟักทองลูกใหญ่ให้กลายเป็นรถม้าทองคำ ที่สวยงาม หนูสองตัวให้กลายเป็นม้า ที่สง่างาม และ กิ้งก่าตัวเล็กให้กลายเป็นสารถีและคนรับใช้ สุดท้าย นางฟ้าก็เสกชุดเก่าๆ ของซินเดอเรลล่าให้กลายเป็น ชุดราตรีสีฟ้าแสนสวย ที่ส่องประกายระยิบระยับ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ รองเท้าแก้วใสบริสุทธิ์ ที่เปล่งประกายงดงาม
ก่อนที่ซินเดอเรลล่าจะออกเดินทาง นางฟ้าได้เตือนว่า "จำไว้นะลูกรัก เวทมนตร์เหล่านี้จะคงอยู่ถึงแค่ เที่ยงคืน เท่านั้น เมื่อนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน ทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาพเดิม"
ซินเดอเรลล่าดีใจเป็นอย่างมาก เธอรีบขึ้นรถม้าและเดินทางไปยังพระราชวัง
เมื่อซินเดอเรลล่าก้าวเข้ามาในงานเลี้ยง ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่เธอ เจ้าชายเห็นซินเดอเรลล่าก็ตกหลุมรักทันที พระองค์ทรงเชิญซินเดอเรลล่าเต้นรำด้วยกันตลอดทั้งคืน ทั้งสองมีความสุขมากที่ได้อยู่ด้วยกัน ราวกับว่าโลกนี้มีเพียงแค่พวกเขา
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เสียงนาฬิกาเริ่มตีบอกเวลา เที่ยงคืน ซินเดอเรลลานึกถึงคำเตือนของนางฟ้า เธอรีบวิ่งออกจากงานเลี้ยงไปอย่างรวดเร็ว โดยลืมแม้กระทั่งบอกลาเจ้าชาย ด้วยความรีบร้อน รองเท้าแก้วข้างหนึ่ง จึงหลุดออกจากเท้าของเธอ ตกอยู่บนบันไดทางเข้าพระราชวัง
เจ้าชายรีบวิ่งตามซินเดอเรลล่าไป แต่ก็ไม่ทัน พระองค์พบเพียงรองเท้าแก้วข้างเดียวที่ซินเดอเรลล่าทิ้งไว้ เจ้าชายทรงเสียพระทัยมาก แต่ก็ทรงเก็บรองเท้าแก้วไว้ และประกาศว่าจะตามหาเจ้าของรองเท้าแก้วนี้ให้พบ หากหญิงสาวคนใดใส่รองเท้าแก้วนี้ได้พอดี ผู้นั้นคือหญิงสาวที่พระองค์จะอภิเษกสมรสด้วย
วันรุ่งขึ้น เจ้าชายทรงให้เหล่าทหารนำรองเท้าแก้วไปให้หญิงสาวทุกคนในอาณาจักรลองสวมใส่ จนกระทั่งทหารมาถึงบ้านของซินเดอเรลล่า พี่สาวทั้งสองพยายามยัดเท้าของตนลงในรองเท้าแก้วเท่าไรก็ไม่สำเร็จ เพราะเท้าของพวกเธอใหญ่เกินไป
เมื่อทหารถามว่ามีหญิงสาวคนอื่นในบ้านอีกหรือไม่ แม่เลี้ยงก็ปฏิเสธ แต่ซินเดอเรลล่าที่กำลังทำความสะอาดบ้านอยู่ก็ก้าวออกมา ทหารเห็นเธอจึงขอให้ลองสวมรองเท้าแก้ว
แม่เลี้ยงและพี่สาวหัวเราะเยาะซินเดอเรลล่า แต่เมื่อซินเดอเรลล่าลองสวมรองเท้าแก้ว มันกลับพอดีกับเท้าของเธออย่างน่าอัศจรรย์ ทันใดนั้น ซินเดอเรลล่าก็หยิบรองเท้าแก้วอีกข้างหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ซึ่งเธอเก็บไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
ทุกคนต่างตกตะลึง และในที่สุด เจ้าชายก็ทรงทราบว่าซินเดอเรลล่าคือหญิงสาวที่พระองค์ตามหา พระองค์ทรงพาซินเดอเรลล่ากลับไปที่พระราชวัง และจัดงานอภิเษกสมรสอย่างยิ่งใหญ่ ซินเดอเรลล่าและเจ้าชายใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป
แจ็คผู้ฆ่ายักษ์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มี เด็กชายคนหนึ่งชื่อแจ็ค อาศัยอยู่กับแม่ที่ยากจนข้นแค้น พวกเขามีเพียงวัวแก่ๆ ตัวหนึ่งเป็นสมบัติชิ้นสุดท้าย
วันหนึ่ง แม่บอกแจ็คให้พาวัวไปขายที่ตลาดเพื่อนำเงินมาซื้ออาหารประทังชีวิต ระหว่างทาง แจ็คได้พบกับชายแก่ลึกลับคนหนึ่ง ชายแก่เสนอจะแลกวัวกับ ถั่ววิเศษห้าเม็ด แจ็คหลงเชื่อจึงตกลงแลกเปลี่ยน โดยไม่ฟังคำทัดทานของแม่ที่กำชับให้ขายวัวเอาเงิน
เมื่อแจ็คกลับถึงบ้านพร้อมถั่ววิเศษ แม่ก็โกรธมากที่แจ็คเอาแต่ถั่วมาแทนเงิน แม่ปาถั่วทิ้งออกนอกหน้าต่างด้วยความโมโห และสั่งให้แจ็คนอนไปโดยไม่ต้องกินข้าว
รุ่งเช้า เมื่อแจ็คตื่นขึ้นมา ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่า ต้นถั่ววิเศษ ที่แม่ปาทิ้งไปเมื่อคืนได้งอกสูงใหญ่ขึ้นไปจนสุดลูกหูลูกตา ทะลุเมฆขึ้นไปบนท้องฟ้า
ด้วยความสงสัยและอยากรู้อยากเห็น แจ็คจึงตัดสินใจ ปีนต้นถั่ว นั้นขึ้นไป เขาปีนแล้วปีนเล่า ปีนขึ้นไปสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทะลุเมฆขึ้นไปสู่โลกอีกใบหนึ่งที่อยู่บนท้องฟ้า
เมื่อแจ็คมาถึงโลกบนฟ้า เขาก็เห็นปราสาทหลังใหญ่โอ่อ่าหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ แจ็คเดินเข้าไปใกล้ๆ และเห็นว่าปราสาทหลังนั้นเป็นของ ยักษ์ตัวมหึมาและใจร้าย กับภรรยาของยักษ์
แจ็คแอบเข้าไปในปราสาท และซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะ ยักษ์กับภรรยากำลังกินอาหารมื้อใหญ่ เสียงเดินของยักษ์ดังกึกก้องไปทั่วปราสาท เมื่อยักษ์กินอิ่มแล้ว มันก็สั่งให้ภรรยานำ ถุงเหรียญทองคำ มาให้ มันนับเหรียญทองคำจนง่วงแล้วก็ผล็อยหลับไป
เมื่อยักษ์หลับสนิท แจ็คก็คลานออกมาจากที่ซ่อน แล้วรีบคว้าถุงเหรียญทองคำวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว เขารีบปีนลงจากต้นถั่วกลับมายังโลกมนุษย์ แจ็คและแม่ดีใจมากที่มีเหรียญทองคำ ทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น
แต่ความอยากได้ของแจ็คยังไม่หมดสิ้น วันหนึ่ง แจ็คก็ปีนต้นถั่วขึ้นไปบนโลกยักษ์อีกครั้ง ครั้งนี้เขาเห็นยักษ์กำลังสั่งให้ภรรยานำ แม่ไก่ที่ออกไข่เป็นทองคำ มาให้ แม่ไก่ตัวนั้นออกไข่ทองคำทีละฟอง ทีละฟองจนยักษ์พอใจ เมื่อยักษ์หลับไป แจ็คก็ขโมยแม่ไก่ทองคำลงมา
แจ็คและแม่รวยขึ้นอีกจากการขายไข่ทองคำ แต่แจ็คก็ยังไม่พอใจ วันหนึ่ง เขาก็ปีนต้นถั่วขึ้นไปอีกเป็นครั้งที่สาม
ครั้งนี้ แจ็คได้ยินเสียงยักษ์สั่งให้ภรรยานำ พิณวิเศษ มาให้ พิณตัวนั้นสามารถบรรเลงเพลงได้ด้วยตัวเองอย่างไพเราะจับใจ เมื่อยักษ์ฟังเพลงจนหลับ แจ็คก็แอบเข้าไปขโมยพิณ
แต่ทันทีที่แจ็คคว้าพิณ พิณวิเศษก็ร้องเสียงดังลั่น "นายท่าน! ช่วยด้วย! มีคนขโมยข้า!"
เสียงพิณปลุกยักษ์ให้ตื่นขึ้น ยักษ์เห็นแจ็คกำลังวิ่งหนีไปพร้อมกับพิณ มันโกรธจัดและรีบวิ่งตามแจ็คมาอย่างรวดเร็ว
แจ็กรีบปีนลงจากต้นถั่วด้วยความเร็วสุดชีวิต ยักษ์ตามมาติดๆ พื้นดินสั่นสะเทือนทุกครั้งที่ยักษ์ก้าวเท้าลงมา เมื่อแจ็คถึงพื้นดิน เขาก็รีบวิ่งไปคว้า ขวาน มาได้ แล้วตะโกนบอกแม่ให้เตรียมตัว
ทันทีที่ยักษ์เริ่มลงมาจากต้นถั่ว แจ็คก็ใช้ขวาน ฟันโคนต้นถั่ว อย่างสุดแรง ต้นถั่วโค่นล้มลงมาอย่างช้าๆ แล้วเสียงดัง "ตูม!" สนั่นหวั่นไหว ยักษ์ตัวมหึมาก็ตกลงมาจากฟากฟ้า และเสียชีวิตในที่สุด
แจ็คและแม่รอดพ้นจากอันตราย และใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่งและมีความสุขตลอดไปจากการขโมยสมบัติของยักษ์มาได้
ขอทานเจ้าปัญญา
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและผู้คนมากมาย มี ขอทานเฒ่าคนหนึ่ง นามว่า ปรีชา ปรีชาแตกต่างจากขอทานทั่วไป เพราะเขามีสติปัญญาเฉียบแหลม และช่างสังเกตเป็นอย่างยิ่ง แม้ร่างกายจะซอมซ่อ แต่ดวงตาของเขากลับเปี่ยมไปด้วยประกายแห่งความคิด
ปรีชามักจะนั่งขอทานอยู่หน้าตลาด เขาไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดจากผู้คน เพียงแต่นั่งอย่างสงบ และสังเกตความเป็นไปของชีวิตรอบตัว เขาเห็นความร่ำรวย ความยากจน ความสุข ความทุกข์ และเรียนรู้จากทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา
วันหนึ่ง มี พ่อค้าผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง กำลังเดินผ่านตลาดด้วยท่าทางโอ้อวด เขาสวมเสื้อผ้าแพรพรรณอย่างดี และมีข้ารับใช้หามหีบสมบัติใบใหญ่ตามมาด้วย พ่อค้าผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องความตระหนี่ถี่เหนียว ไม่เคยบริจาคทานให้ใครเลย
ปรีชาเห็นดังนั้น จึงคิดจะสอนบทเรียนให้พ่อค้าผู้นี้ ด้วยเสียงอันแผ่วเบา แต่พอที่พ่อค้าจะได้ยิน เขาพูดรำพึงรำพันกับตัวเองว่า "น่าเสียดายยิ่งนักหนอ... คนเรามักจะมัวแต่เก็บสะสมสิ่งของมีค่าที่ไม่จีรังยั่งยืน โดยไม่คิดที่จะสะสมสิ่งที่จะติดตัวไปได้ตลอดกาล"
พ่อค้าได้ยินดังนั้นก็ชะงัก เขามองมาที่ปรีชาด้วยความสงสัย แล้วถามว่า "เจ้าขอทาน! เจ้าพูดอะไรของเจ้า สิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืนคืออะไร และสิ่งใดเล่าที่จะติดตัวไปได้ตลอดกาล"
ปรีชาเงยหน้าขึ้นมองพ่อค้าด้วยรอยยิ้มอย่างใจเย็น แล้วตอบว่า "นายท่านผู้เจริญ สิ่งที่ท่านสะสมอยู่ในหีบนั้นคือ ทรัพย์สมบัติ ซึ่งเมื่อชีวิตท่านหาไม่แล้ว มันย่อมไม่ติดตามท่านไปได้เลย ส่วนสิ่งที่ติดตัวท่านไปได้ตลอดกาล ไม่ว่าจะภพชาติใด คือ บุญกุศล ที่ท่านได้ทำไว้ในชาตินี้ต่างหากเล่าขอรับ"
พ่อค้าได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเหมือนถูกค้อนทุบเข้ากลางใจ เขานิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ไม่เคยมีใครสอนเขาด้วยคำพูดที่คมคายเช่นนี้มาก่อน เขามัวแต่สะสมทรัพย์สิน จนลืมไปว่าสิ่งสำคัญในชีวิตคืออะไร
ด้วยสติปัญญาของปรีชา ทำให้พ่อค้าตระหนักถึงสัจธรรมของชีวิต ตั้งแต่นั้นมา พ่อค้าก็กลับตัวกลับใจ เขาเริ่มแบ่งปันทรัพย์สิน ทำบุญทำทาน และช่วยเหลือผู้ยากไร้ กลายเป็นเศรษฐีผู้ใจบุญและเป็นที่เคารพของคนในเมือง
ส่วนปรีชา ก็ยังคงใช้ชีวิตเรียบง่ายเช่นเดิม แต่ผู้คนต่างพากันเรียกขานเขาว่า "ขอทานเจ้าปัญญา" และมักจะมาขอคำแนะนำจากเขาเสมอ เพราะรู้ว่าคำพูดของปรีชานั้นเปี่ยมไปด้วยคุณค่าและสัจธรรมแห่งชีวิต
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สติปัญญาและคุณธรรมนั้นมีค่ากว่าทรัพย์สินเงินทอง และ การเป็นผู้ให้ย่อมนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริงและสิ่งที่ยั่งยืนกว่า
ราพันเซล: เจ้าหญิงผมยาวผู้ถูกขัง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสามีภรรยาคู่หนึ่งอาศัยอยู่ข้างบ้านของแม่มดชั่วร้าย วันหนึ่งภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์อยากกิน ราพันเซล (ผักชนิดหนึ่ง) จากสวนของแม่มดมาก สามีจึงแอบเข้าไปขโมยมาให้ แต่แม่มดจับได้และโกรธมาก นางจึงบังคับให้สามีภรรยาคู่นี้ ยกเด็กทารกที่คลอดออกมาให้แก่นาง เมื่อเด็กหญิงตัวน้อยถือกำเนิด นางแม่มดก็ตั้งชื่อเธอว่า ราพันเซล และเลี้ยงดูเธอไว้แต่เพียงผู้เดียว
เมื่อราพันเซลอายุได้ 12 ปี และเติบโตเป็นสาวน้อยผู้มีรูปโฉมงดงามและมี เส้นผมสีทองอร่ามยาวสลวย แม่มดก็พาเธอไปขังไว้ใน หอคอยสูงกลางป่า ที่ไม่มีประตู ไม่มีบันได มีเพียงหน้าต่างบานเล็กๆ อยู่ด้านบนสุดเท่านั้น ทุกครั้งที่แม่มดต้องการขึ้นไปหาราพันเซล นางจะยืนอยู่ใต้หอคอยแล้วร้องเรียก "ราพันเซล ราพันเซลเอ๋ย ปล่อยผมของเจ้าลงมาให้ข้าที" แล้วราพันเซลก็จะปล่อยผมยาวสลวยของเธอยาวลงมาให้แม่มดปีนขึ้นไป
ราพันเซลใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนหอคอย เธอร้องเพลงขับกล่อมตัวเองไปวันๆ เสียงร้องของเธอไพเราะจับใจแผ่วไปตามลม วันหนึ่ง เจ้าชายรูปงาม องค์หนึ่งขี่ม้าผ่านมาในป่า ได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะก็รู้สึกหลงใหล จึงตามหาที่มาของเสียง จนกระทั่งมาพบหอคอยลึกลับ
เจ้าชายแอบซ่อนตัวและเฝ้าสังเกตการณ์ จนเห็นแม่มดมาที่หอคอยและร้องเรียกให้ราพันเซลปล่อยผมลงมา เมื่อแม่มดจากไป เจ้าชายก็ทำตามอย่างเดียวกัน "ราพันเซล ราพันเซลเอ๋ย ปล่อยผมของเจ้าลงมาให้ข้าที"
ราพันเซลประหลาดใจที่มีคนอื่นมาร้องเรียกเธอ แต่เธอก็ปล่อยผมลงไป เมื่อเจ้าชายปีนขึ้นไปถึงยอดหอคอย ทั้งสองก็ตกหลุมรักกันทันที เจ้าชายมาเยี่ยมราพันเซลทุกวัน และวางแผนที่จะช่วยเธอให้เป็นอิสระ โดยให้ราพันเซลค่อยๆ ถักผ้าไหมเป็นบันได เพื่อที่เธอจะได้ปีนลงมาจากหอคอยได้
แต่แล้ว ความลับก็ถูกเปิดเผย วันหนึ่งขณะที่ราพันเซลพูดคุยกับแม่มด เธอบังเอิญพูดถึงเจ้าชายขึ้นมา แม่มดโกรธจัดที่ราพันเซลแอบคบหากับคนอื่น นางจึงใช้กรรไกร ตัดผมสีทองของราพันเซลทิ้งจนหมด แล้วนำราพันเซลไปทิ้งไว้ในทะเลทรายอันห่างไกล
หลังจากนั้น เมื่อเจ้าชายมาที่หอคอยและร้องเรียก ราพันเซลก็ปล่อยผมลงมา แต่กลับเป็น ผมที่ถูกตัดของแม่มด เมื่อเจ้าชายปีนขึ้นไปถึงยอดหอคอย เขาก็ต้องตกใจเมื่อพบแม่มดแทนที่จะเป็นราพันเซล แม่มดผลักเจ้าชายตกลงมาจากหอคอย เจ้าชายตกลงไปในพุ่มไม้หนามด้านล่าง ทำให้ ดวงตาของพระองค์บอดสนิท
เจ้าชายตาบอดได้แต่เดินเร่ร่อนไปในป่าด้วยความเสียใจและเจ็บปวด คอยเรียกชื่อราพันเซลอยู่เสมอ ส่วนราพันเซลที่ถูกทิ้งไว้ในทะเลทราย ก็ได้ให้กำเนิดบุตรแฝดชายหญิงสองคน และใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว
เวลาผ่านไปหลายปี จนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าชายตาบอดเดินมาถึงทะเลทรายที่ราพันเซลอยู่ และได้ยินเสียงร้องเพลงที่คุ้นเคย เขาตามเสียงเพลงไปจนกระทั่งพบราพันเซล เมื่อราพันเซลเห็นเจ้าชายตาบอดก็ร้องไห้ด้วยความสงสาร น้ำตาของเธอหยดลงบนดวงตาของเจ้าชาย และด้วยปาฏิหาริย์ ดวงตาของเจ้าชายก็กลับมามองเห็นได้อีกครั้ง
ทั้งสามคนพ่อ แม่ ลูก กอดกันด้วยความปิติยินดี เจ้าชายพาราพันเซลและลูกๆ กลับสู่เมือง และจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ราพันเซลและเจ้าชายใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป
ชายผู้ยากจนถามพระพุทธเจ้าว่า “เหตุใดข้าจึงยากจนยิ่งนัก” รู้คำตอบ ถึงกับน้ำตาไหล…
กาลครั้งหนึ่ง มีขอทานคนหนึ่งออกขอทานทุกวัน เขาอยากจะมีชีวิตเหมือนคนปกติ เพราะฉะนั้น เขาจึงมักจะขอทานเสบียงกรังและตุนไว้ แต่ว่าเขากักตุนเสบียงมาหลายปี ยุ้งฉางของเขาก็มีเพียงข้าวสารนิดหน่อย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจค้นหาสาเหตุ
คืนวันหนึ่ง เขาแอบอยู่มุมหนึ่งของบ้านและจ้องไปที่เสบียง ในที่สุด เขาเห็นหนูตัวใหญ่มาขโมยกินเสบียงของเขา เขาโกรธมาก ตะโกนไปที่เจ้าหนูว่า “บ้านคนรวยมีอาหารเยอะแยะ แกทำไมไม่ไปกินทำไมเจาะจงมากินอาหารข้าที่กักตุนมาด้วยความลำบาก” เจ้าหนูพูดขึ้นว่า “ชะตาของเจ้ามีข้าวสารได้แค่8ส่วน เดินให้ทั่วหล้า ก็ไม่สามารถมีข้าวได้ครบถัง” ขอทานถามเจ้าหนู “ทำไมเป็นเช่นนั้น” เจ้าหนูตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้ เจ้าไปถามพระพุทธองค์สิ
ขอทานจึงตัดสินใจ เดินทางไปทางทิศตะวันตกเพื่อถามพระพุทธองค์ ว่าเหตุผลอันใดถึงมีชะตาชีวิตเช่นนี้
เจ้าขอทานก็ออกเดินทาง เขาขอทานระหว่างทาง เดินทางไปไกลมาก วันหนึ่ง เขาเดินจนฟ้ามืดถึงจะพบบ้านคนหลังหนึ่ง รีบไปเคาะประตู มีพ่อบ้านเดินออกมาถามว่ามีเรื่องอะไร เขาบอกขอข้าวกินหน่อย พอดีเศรษฐีเจ้าของบ้านออกมาเห็นเข้า เลยถามขอทานว่า มืดอย่างนี้แล้วทำไมยังเดินทางอยู่อีก ขอทานจึงเล่าชะตาชีวิตให้เศรษฐีฟัง
บอกว่าจะไปถามเหตุผลกับพระพุทธองค์ เศรษฐีได้ยินดังนั้น รีบเชิญขอทานเข้าไปนั่งในบ้าน ให้เสบียงกรังและเงินกับเขาจำนวนหนึ่ง ขอทานถามว่าทำไมทำเช่นนั้น เศรษฐีจึงเล่าเหตุผลให้ฟังว่า ลูกสาวข้าอายุ16แล้ว ยังพูดไม่ได้ ขอร้องให้เจ้าช่วยถามเหตุผลกับพระพุทธองค์ด้วย
เศรษฐีเคยสาบานว่าใครก็ตามที่ทำให้ลูกสาวพูดได้ เขาก็จะให้ลูกสาวแต่งงานกับคนนั้น ขอทานได้ฟังเช่นนั้น คิดว่าไหนๆก็จะไปหาพระพุทธองค์อยู่แล้ว เราก็ถือโอกาสช่วยถามให้เขาก็ได้ ขอทานจึงรับปากจะถามให้
ขอทานเดินทางต่อไปผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า เดินถึงเขาลูกหนึ่ง เห็นวัดแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ก็เลยเข้าไปขอน้ำดื่ม เห็นพระแก่รูปหนึ่งถือไม้เท้าดีบุก ท่าทางแก่มาก แต่ดูกระฉับกระเฉง พระชราให้น้ำเขาดื่มและบอกให้เขาพักผ่อนสักครู่ แล้วถามเขาว่าจะไปไหน ขอทานบอกจุดหมายที่จะไป พระชรารีบจับมือขอทานไว้และพูดว่า ขอร้องเจ้าต้องช่วยถามพระพุทธองค์ให้หน่อย ข้าเข้าฌานฝึกฝนมา 500 กว่าปีแล้ว ตามหลักควรจะขึ้นสวรรค์แล้ว ทำไมยังบินขึ้นไปไม่ได้ ขอทานก็เลยรับปากพระชรา
เดินไปข้างหน้า ผ่านหนทางทั้งห้วยหนองคลองบึง ขอทานมาถึงริมแม่น้ำสายหนึ่ง ในแม่น้ำไม่มีเรือสักลำ ขอทานร้อนรนใจ จะทำอย่างไรดี จะข้ามไปยังไง ขอทานร้องไห้และพูดว่า หรือว่าชีวิตข้าจะต้องลำบากเช่นนี้หรือ ทันใดนั้น เต่ายักษ์แก่ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นเหนือน้ำ เต่าแก่พูดภาษาคนได้ ถามขอทานว่ามาร้องไห้ที่นี่ทำไม ขอทานเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เต่าแก่พูดกับเขาว่า ข้าได้เข้าฌานปฏิบัติตนมา 1000 ปีแล้ว ตามหลักน่าจะกลายเป็นมังกรบินไปแล้ว ทำไมยังเป็นแค่เต่าแก่ๆตัวหนึ่ง ถ้าเจ้าไปพบพระพุทธองค์ช่วยถามให้ข้าด้วย ข้าจะให้เจ้าขี่ข้ามแม่น้ำไปฝั่งตรงข้าม ขอทานรับปากด้วยความดีใจ
ขอทานเดินไปจำไม่ได้ว่าอีกกี่วัน แต่ก็หาพระพุทธองค์ไม่เจอ คิดในใจว่าพระพุทธองค์อยู่ไหนนะ แดนสุขาวดีน่าจะถึงแล้ว ขอทานเสียใจมาก เลยผลอยหลับไปแบบงุนงง
ทันใดนั้นพระพุทธองค์ปรากฏองค์ขึ้น ขอทานดีใจมาก พระพุทธองค์ถามขอทานว่า เจ้ามาไกลขนาดนี้ น่าจะมีคำถามอะไรที่สำคัญมากใช่ไหม ใช่เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะถามคำถามหลายคำถาม หวังว่าท่านจะอธิบายให้ข้าน้อยเข้าใจได้ พระพุทธองค์ตอบว่า ได้สิ แต่มีเงื่อนไขหนึ่งนะเจ้าถามได้สูงสุดแค่ 3 คำถามเท่านั้น เพราะว่าไม่เคยมีใครถามเกิน 3 คำถามมาก่อน ขอทานตอบตกลง คิดในใจว่า ข้าจะถามคำถามไหนดีขอทานรู้สึกว่าคำถามของตนเองช่างไม่มีความสำคัญเลย
เต่าแก่เข้าฌานมา1000ปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่าย คำถามเขาน่าจะลองถามดู
พระชราปฏิบัติมา500ปี ก็ลำบากมาก คำถามเขาก็น่าจะถามดู
ลูกสาวเศรษฐีช่างน่าสงสารนัก พูดไม่ได้แล้วจะแต่งงานได้ยังไง
คำถามของเขาก็น่าจะถามดู และแล้วขอทานจึงไม่ลังเลที่จะถามคำถามที่1
พระพุทธองค์ตอบเขาว่า เต่าแก่ไม่ยอมสละกระดองของมัน ก็เลยไม่สามารถกลายเป็นมังกรได้ ในกระดองของเต่ามีไข่มุกราตรีอยู่24เม็ด ถ้ามันยอมสละกระดอง มันก็จะกลายเป็นมังกรได้
คำถามที่2 ท่านตอบว่า พระชราถือไม้เท้าวิเศษทั้งวัน ในใจพะวงแต่ไม้เท้าว่าเป็นของวิเศษ ใช้ไม้เท้าเคาะบนพื้น1ที บนพื้นก็จะกลายเป็นธารน้ำใส ถ้าหากพระชรายอมโยนไม้เท้าทิ้ง เขาก็จะขึ้นสวรรค์ได้แล้ว
ขอทานดีใจมาก จึงถามคำถามที่3 ท่านตอบว่า ถ้าเด็กสาวได้พบคนที่เธอรัก เธอก็จะพูดได้เอง และทันใดนั้นพระพุทธองค์ก็หายไป?
ขอทานรู้สึกว่า ปัญหาของตัวเองไม่มีอะไรสำคัญ กลับไปขอทานตามเดิมดีกว่า แล้วจึงรีบเดินทางกลับ ขอทานกลับมาถึงริมแม่น้ำ เต่าแก่คำนวนว่าขอทานน่าจะมาถึงแล้ว จึงรีบถามว่าพระพุทธองค์ตรัสว่ายังไง ขอทานพูดว่า เจ้าพาข้าข้ามแม่น้ำไปก่อน ข้าจะเล่าให้ฟัง เต่าพาขอทานข้ามแม่น้ำไป ขอทานเล่าสาเหตุให้ฟัง เต่าฟังแล้วเข้าใจทันที จึงถอดกระดองออกยกให้ขอทานและพูดว่า ในนี้มีไข่มุกราตรี24เม็ด เป็นของที่หาค่ามิได้ สำหรับข้าไม่มีประโยชน์แล้ว ข้าขอยกให้เจ้า เต่าแก่จึงกลายเป็นมังกร บินหายไป
ขอทานเอาไข่มุกราตรี24เม็ด รีบเดินทางกลับมาถึงบนเขาพบกับพระชรา พระชรารีบถามว่าพระพุทธองค์ท่านตรัสว่าอย่างไร ขอทานเล่าสาเหตุให้ฟัง พระชราได้ฟังดีใจมาก จึงมอบไม้เท้าวิเศษให้แก่ขอทาน พระชราจึงขี่เมฆบินขึ้นท้องฟ้าหายไป
ขอทานเดินทางมาถึงหน้าบ้านเศรษฐี ทันใดนั้น มีหญิงสาววิ่งออกมาและตะโกนเสียงดังว่า คนที่ไปถามพระพุทธองค์กลับมาแล้ว เศรษฐีก็วิ่งออกมา เขาตกใจมากที่อยู่ๆลูกสาวเขาพูดได้ ขอทานถ่ายทอดคำตรัสพระพุทธองค์ เศรษฐีดีใจมาก จึงให้ลูกสาวแต่งงานกับขอทาน
ความรักที่ให้ออกไป ความรักก็จะย้อนกลับคืนมา
ความสุขที่ให้ออกไป ความสุขก็จะย้อนกลับคืนมา
คิดเผื่อคนอื่น ย่อมจะต้องมีคนคิดถึงคุณ
นี่คือเหตุและผล นี่คือกฏเกณฑ์ครับ
นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่อง ท้าวก่ำกาดำ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง หลังจากอยู่กินร่วมชีวิตกันเป็นเวลาหลายปี แต่หาได้มีบุตรไว้สืบสกุลไม่ สามีจึงปรึกษากับภรรยาว่า “นี่แม่นาง พี่เห็นว่าเราก็อยู่ร่วมกันมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีบุตรสักที พี่เองก็อยากมีบุตรไว้สืบสกุล แล้วน้องล่ะ” สามีถามทิ้งท้าย “น้องก็เช่นกัน การไม่มีบุตรก็เท่ากับขาดคนสืบสกุลใช่ไหม” ภรรยาพูดเป็นเชิงถาม “ถ้าอย่างนั้นเราไปบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอบุตรดีไหม” สามีชวนเมื่อรู้ว่าภรรยาเห็นดีด้วยที่จะมีบุตร “ไปก็ไปสิจ๊ะ เพื่อเราจะได้มีบุตรไว้สืบสกุลกัน” ภรรยาตอบตกลง… เมื่อมีความเห็นตรงกัน และตกลงร่วมกันเช่นนั้น ทั้งสองจึงไปบนบานต่อศาลเทพารักษ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน จากนั้นไม่นาน ภรรยาก็ตั้งครรภ์และคลอดลูกออกมาเป็นผู้ชาย
แม้จะมีบุตรสมใจแต่ก็ไม่ให้ผู้เป็นมารดามีความสุขเลย เพราะกุมารน้อยที่เกิดมานั้นมีผิวดำเหมือนกา จนชาวบ้านเอาไปซุบซิบนินทานางว่า “มันต้องไปสมสู่กับกาแน่ ๆ ลูกจึงเกิดมาดำอย่างนั้น”…“ข้าว่าในอดีตมันต้องเป็นคนใจดำ อาจทำชั่วมาก่อนจึงได้ลูกดำมากขนาดนั้น” คำพูด คำนิทามีมากขึ้น ยิ่งนานวันการซุบซิบปากต่อมากกระทั่งพูดกันทั่วบ้านทั่วเมือง ทำให้ผู้เป็นมารดารู้สึกอับอาย เมื่อผู้เป็นมารดาก็รู้สึกละอายที่ต้องมีลูกชายรูปชั่วตัวดำ จนนางอดทนไม่ไหวถึงกับเอ่ยปากกับผู้เป็นสามีว่า “พี่..ฉันคงเลี้ยงลูกคนนี้ไม่ไหวแล้ว เลี้ยงมันไว้ยิ่งนับวันจะอับอายขายหน้า ผู้คนในหมู่บ้านหาว่าฉันไปสมสู่กับอีกาจึงมีลูกตัวดำปี๋อย่างนี้ บางคนก็บอกว่าชาติก่อนฉันคงใจดำ ทำไม่ดีไว้มากชาตินี้จึงได้ลูกดำเหมือนกา” สามีไม่ปริปากว่าอะไร ได้แต่นั่งคิด ภรรยาเห็นสามีไม่พูดจึงปรึกษาว่า “ฉันว่าเอาลูกเราไปลอยแพทิ้งดีไหม” เมื่อได้ยินคำว่า “เอาลูกไปทิ้ง” สามีก็เริ่มปริปากพูด “เขาจะพูดกันก็ช่างปะไร แกจะไปเดือดร้อนทำไม ถึงตัวมันดำ ก็มีแขนขาหูตาครบส่วนทุกอย่าง ถึงอย่างไรก็เป็นลูกเรา นี่แกคิดจะลอยแพลูกทิ้งเชียวเหรอ” ผู้เป็นสามีติงอยางไม่เห็นด้วยฝ่ายภรรยา
เมื่อเห็นสามีไม่เห็นด้วย จึงคิดกลอุบายหาทางกำจัดกุมารน้อยรูปชั่วตัวดำ โดยไปให้สินบนกับโหรทำนายทายทักไปในทางไม่ดี เพื่อให้สามีของนางเชื่อตามนั้น “อย่ากระนั้นเลย ข้าอายคนมาก ข้าต้องหาหาเอาลูกไปทิ้งให้ได้ เมื่อเขาไม่ยอมเราก็ควรหาวิธีอื่น วิธีที่ดีที่สุดก็คือให้โหรช่วยทำนายว่าลูกจะทำภัยพิบัติมาให้ แล้วเขาก็จะเชื่อ” นางวางแผน “พี่ ฉันว่าเราไปปรึกษาโหรดีไหม” นางชวนสามี สามีคิดนิดหนึ่งแล้วตอบว่า “เออ…..ก็ดี เพราะโหรเขาจะรู้อนาคตได้ดี” แล้วทั้งสองก็ไปให้โหรทำนาย
โหรถูกว่าจ้างดังนั้นแล้วก็มาที่บ้านของสามีภรรยา บอกให้นำกุมารน้อยไปไว้ตรงหน้า แล้วถามถึงเดือนปีเกิดเวลาตกฟาก ซึ่งฝ่ายผู้เป็นภรรยาก็บอกให้โหรทราบทุกประการ ส่วนผู้เป็นสามีคอยนั่งฟังโหรทำนายด้วยใจจดใจจ่อ เพราะเขารักสงสารลูกชายตัวดำของเขามาก ผู้เป็นบิดาไม่เคยรังเกียจลูกเลย แม้จะเกิดมาตัวดำปี๋เหมือนอีกา หรือเหมือนถ่านก็ตามที ฝ่ายโหรเมื่อได้เวลาเกิดและยามตกฟากของกุมารผิวถ่านแล้ว ก็ทำทีขีดเขียนกระดานเพื่อคำนวณถึงชะตาราศรี เขาจึงทำนายไปตามที่ได้รับสินบนตามต้องการของหญิงผู้เป็นแม่… “โธ่…กุมารน้อยตัวดำเกิดมาในฤกษ์เป็นกาลกิณีแท้ ๆ จะนำภัยพิบัติมาสู่พ่อแม่ ขืนเลี้ยงไว้มีแต่จะทำให้ทุกข์ยากถึงขนาดพ่อแม่จะอายุสั้นต้องพรากจากกันเลยทีเดียว กุมารน้อยช่างเกิดมามีกรรมน่าสงสารแท้ๆ” ตอนท้ายโหรแกล้งบีบเสียงให้สมจริงสมจัง “นี่…โหรคำนวณไม่ผิดพลาดแน่นะ” ผู้เป็นพ่อสงสัย สงสารและเป็นห่วงลูกชายตัวดำ
“รับรองว่าตรวจทานตามวันเวลาเกิดและเวลาตกฟากถูกต้องทุกประการ” โหรยืนยัน
ผู้เป็นพ่อถึงจะรักและสงสารลูกน้อยตัวดำมากมายขนาดไหนก็มิอาจจะเลี้ยงได้แล้ว คำว่า “ภัยพิบัติ” และ “กาลกิณี” หมายถึงสิ่งชั่วร้ายจะต้องเกิดกับครอบครัว ไหนอายุพ่อแม่จะต้องสั้น ลูกอัปมงคลอย่างนี้คงเลี้ยงไว้ไม่ได้แล้ว กุมารน้อยตัวดำปี๋จึงลูกลอยแพทิ้งให้ลอยไปตามสายน้ำ แล้วแต่บุญกรรมนั่นแล้ว…ร้อนถึงเทวดาทิพยอาสน์เคยอ่อนนุ่มกลับแข็งกระด้าง ท่านจึงสอดส่องลงมายังเบื้องล่างก็เห็นกุมารน้อยถูกลอยแพตามกระแสน้ำจึงบันดาลให้แพลอยไปเกยตื้นใกล้อุทยานของพระราชา
บ่ายวันนั้นคนเฝ้าอุทยานลงมาอาบน้ำที่ท่าน้ำพบแพลอยน้ำใกล้เข้ามา ครั้นมองในแพ เห็นกุมารน้อยนอนดินกระแด่วอยู่ก็ดีใจ เพราะเขาเองยังไม่มีลูกทั้งที่อยู่กินกับภรรยามาหลายปี “โอ้…เจ้านี่เกิดมาตัวดำ ดำเหมือนอีกา พ่อจะตั้งชื่อให้นะ”… เฝ้าอุทยานนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ควรจะตั้งชื่ออย่างไรจึงจะสมรูปสมร่าง ในที่สุดก็คิดได้จึงร้องออกมาว่า….
“เออ…ข้าคิดออกแล้ว เข้าเกิดมาตัวดำ ดำเหมือนกา ดำเหมือนถ่าน ชื่อว่า “ท้าวก่ำกาดำ” ก็แล้วกัน”
ท้าวก่ำกาดำเจริญเติบโตขึ้นมาเพราะคนเฝ้าอุทยานของพระราชาเลี้ยงดู จนกลายเป็นหนุ่มเขาเป็นคนขยันขันแข็ง ช่วยงานปลูกต้นไม้ ดูแลต้นไม้ในอุทยานอย่างเอาใจใส่ จนต้นไม้ในอุทยานไม่ว่าจะเป็นไม้ดอกไม้ผลก็ออกดอกติดผลจนกิ่งห้อยระดิน ท้าวก่ำกาดำจึงเป็นที่รักใคร่ของครอบครัวคนเฝ้าอุทยานของพระราชยิ่งนัก… วันหนึ่งพระธิดาทั้งเจ็ดของพระราชาเสด็จมาชมสวนพร้อมสาวสนมในวัง ท้าวก่ำกาดำแอบดูความสวยงามของพระธิดาทั้งเจ็ดซึ่งแต่ละนางล้วนมีความสวยงามมิได้ยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่ท้าวก่ำกาดำมีความสนใจในพระธิดาน้องนุชสุดท้องคนที่เจ็ด มีชื่อว่า “นางลุน”
ท้าวก่ำกาดำมีความสามารถอีกอย่างหนึ่ง คือ สามารถเป่าแคนได้ไพเราะเพราะพริ้งมาก หากใครได้ยินเสียงแคนของท้าวก่ำกาดำก็จะหลงใหลจนลืมตัว นอกจากนั้นท้าวก่ำกาดำยังมีฝีมือร้อยพวงมาลัยดอกไม้ได้สวยงามยิ่งนัก…วันหนึ่งเขาร้อยพวงมาลัยดอกไม้สดบรรยายเป็นความรักแล้วให้ภรรยาคนเฝ้าสวนนำไปถวายนางลุนในวัง นางลุนได้รับพวงมาลัยบรรยายเป็นความรักจึงเกิดความหลงใหลใคร่อยากเห็นหน้าผู้ร้อยมาลัยมาถวาย ตอนค่ำทุกวัน ท้าวก่ำกาดำจะเป่าแคนให้เสียงแคนลอยตามลงไปจนถึงวัง ครั้นพระราชาได้ฟังเสียงแคนที่ไพเราะจึงมีรับสั่งให้คนเฝ้าอุทยานนำท้าวก่ำกาดำไปเป่าแคนถวายในวังจนเป็นที่โปรดปรานของพระราชา หากวันใดพระองค์ไม่ได้ฟังเสียงแคนของท้าวก่ำกาดำพระราชาจะบรรทมไม่หลับ ดังนั้นท้าวก่ำกาดำจึงต้องเข้าไปเป่าแคนถวายพระราชาในวังทุกค่ำคืน… ครั้นเมื่อพระราชาบรรทมหลับด้วยมนต์เสียงแคนของท้าวก่ำกาดำ จึงเป็นโอกาสให้หนุ่มรูปกายดำราวกับอีกาถือโอกาสลักลอบไปได้เสียกับพระธิดาองค์เล็ก คือ นางลุน ซึ่งจากนั้นเทวดาได้ดลให้ท้าวก่ำกาดำได้ถอดครบให้เป็นรูปกายอันงดงามด้วยความหล่อเหลาที่แท้จริงของเขา
ท้าวก่ำกาดำได้ขอให้พ่อแม่ซึ่งเป็นคนเฝ้าอุทยานไปสู่ขอนางลุนเป็นคู่ชีวิตของตน พระราชาไม่รังเกียจแต่เรียกค่าสินสอดเป็นเงินทองมากมาย รวมทั้งให้ท้าวก่ำกาดำสร้างสะพานเงินสะพานทองจากในอุทยานมาจนถึงวังของนางลุน ถ้าท้าวก่ำกาดำทำได้ให้ดังนั้นจะยกธิดานางลุนให้… ท้าวก่ำกาดำเป็นคนมีบุญญาธิการลงมาเกิด เป็นโอรสจากสวรรค์ พระอินทร์จึงลงมาช่วยอีกครั้งหนึ่ง… โดยเนรมิตเงินทองสินสอดทองหมั้น พร้อมสร้างสะพานทองจากอุทยานถึงวังของนางลุนได้สมกับความต้องการของพระราชา… ท้าวก่ำกาดำจึงได้แต่งงานกับพระธิดานางลุนและอยู่อย่างมีความสุข ท้าวก่ำกาดำได้รับพ่อแม่คนทำสวนและสืบหาพ่อแม่ที่แท้จริงของตน และได้รับเข้ามาเลี้ยงดูในวังเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณทุกคน ท้าวก่ำกาดำจึงอยู่กับคนรักและพ่อแม่อย่างมีความสุขสืบมา
ตำนานงูเขียวกับตะขาบ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าลึกแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่และลำธารใสสะอาด มี งูเขียวตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ มันเป็นงูที่มีพิษร้ายกาจและมีนิสัยดุร้าย ชอบฉกกัดสัตว์อื่นโดยไม่เลือกหน้า สร้างความหวาดกลัวให้กับสัตว์ทั้งหลายในป่า
ในป่าเดียวกันนั้น มี ตะขาบยักษ์ตัวหนึ่ง ตะขาบตัวนี้มีร่างกายใหญ่โต มีหลายร้อยขา และมีพิษร้ายแรงไม่แพ้งูเขียว แต่แตกต่างกันตรงที่ตะขาบยักษ์เป็นสัตว์ที่รักสงบ ไม่ชอบมีเรื่องกับใคร หากไม่ถูกรบกวนก่อน
งูเขียวมักจะโอ้อวดพละกำลังและพิษร้ายของตนเองอยู่เสมอ และมักจะหาเรื่องทะเลาะกับสัตว์อื่นไปทั่ว วันหนึ่ง งูเขียวได้พบกับตะขาบยักษ์เข้าโดยบังเอิญ มันรู้สึกไม่พอใจที่เห็นตะขาบตัวใหญ่กว่าตน จึงท้าทายด้วยความเย่อหยิ่ง
"เจ้าตะขาบตัวใหญ่! เจ้าช่างดูน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนัก! แต่ข้ารู้ว่าเจ้าคงไม่มีพิษสงอะไรหรอกจริงไหม! มาลองประลองกันหน่อยไหมเล่า ว่าใครมีพิษร้ายกาจกว่ากัน!" งูเขียวเลื้อยไปมาพร้อมกับชูคอขู่
ตะขาบยักษ์ผู้รักสงบไม่ต้องการมีเรื่อง จึงพยายามหลีกเลี่ยง "ท่านงูเขียว ข้าไม่ต้องการทะเลาะกับท่าน โปรดอย่าหาเรื่องเลย"
แต่งูเขียวไม่ยอมลดละ มันยิ่งเพิ่มความท้าทายและดูถูกดูแคลนมากขึ้นเรื่อยๆ จนตะขาบยักษ์ทนไม่ไหว ด้วยความจำเป็นที่จะต้องป้องกันตัวเอง ตะขาบยักษ์จึงตกลงที่จะประลองพิษกับงูเขียว โดยมีกติกาว่าใครสามารถกัดอีกฝ่ายให้ตายได้ก่อน ผู้นั้นคือผู้ชนะ
การประลองเริ่มต้นขึ้น งูเขียวพุ่งเข้าฉกกัดตะขาบยักษ์อย่างรวดเร็ว พิษร้ายของงูเขียวแล่นเข้าสู่ร่างกายของตะขาบยักษ์ในทันที ตะขาบยักษ์รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่าง แต่ด้วยความอดทนและพิษร้ายกาจของตนเอง มันก็รีบใช้เขี้ยวคู่หน้า กัดเข้าที่หัวของงูเขียว อย่างสุดแรง
พิษของตะขาบยักษ์นั้นรุนแรงยิ่งกว่า งูเขียวได้รับพิษเข้าไปเต็มที่ ร่างกายของมันเริ่มบิดงอ และแข็งทื่ออย่างรวดเร็ว งูเขียวพยายามดิ้นรนเฮือกสุดท้าย แต่ก็ไม่สามารถต้านทานพิษของตะขาบยักษ์ได้
ในที่สุด งูเขียวก็สิ้นใจตายคาสนามประลอง ส่วนตะขาบยักษ์ แม้จะได้รับพิษจากงูเขียวจนบาดเจ็บสาหัส แต่มันก็ยังคงมีชีวิตอยู่รอดได้
ตั้งแต่นั้นมา สัตว์ทั้งหลายในป่าก็เรียนรู้ที่จะไม่ประมาท และไม่ดูถูกดูแคลนผู้อื่น เพราะบางครั้ง ผู้ที่เราคิดว่าอ่อนแอ อาจมีพิษสงร้ายกาจกว่าที่เราคิด และการโอ้อวดพละกำลังโดยไม่จำเป็น อาจนำมาซึ่งหายนะได้
จระเข้ไม่มีลิ้น กับ กระต่ายหางด้วน: ตำนานแห่งการชิงไหวชิงพริบ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ริมแม่น้ำใหญ่ที่กว้างขวางและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าโกงกาง มี จระเข้ตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ มันเป็นจระเข้ที่ฉลาดเฉลียวแต่ก็เจ้าเล่ห์มาก และมีนิสัยชอบหลอกล่อสัตว์อื่นให้ตกเป็นเหยื่อเพื่อกินเป็นอาหาร
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ มี ฝูงกระต่าย อาศัยอยู่ กระต่ายเหล่านั้นมักจะออกมาหากินหญ้าและพืชผักริมฝั่งน้ำเป็นประจำ แต่ก็ต้องระมัดระวังจระเข้ที่จ้องจะจับกินอยู่เสมอ
วันหนึ่ง กระต่ายตัวหนึ่งซึ่งเป็น กระต่ายผู้นำฝูง มีไหวพริบและฉลาดกว่ากระต่ายตัวอื่นๆ มันรู้สึกเบื่อหน่ายกับการที่ต้องคอยระแวงจระเข้อยู่ตลอดเวลา จึงคิดหาทางที่จะข้ามไปหากินในอีกฝั่งแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์กว่า
จระเข้เห็นกระต่ายยืนอยู่ริมฝั่ง ก็คิดแผนการที่จะหลอกกินกระต่าย จึงลอยตัวนิ่งๆ อยู่ในน้ำแล้วแกล้งทำเป็นนอนหลับ เมื่อกระต่ายเดินเข้ามาใกล้ จระเข้ก็โผล่ขึ้นมาทักทายด้วยน้ำเสียงอันเป็นมิตร
"สวัสดีเจ้ากระต่ายน้อย เจ้าจะไปที่ไหนหรือ" จระเข้แสร้งถาม
กระต่ายผู้นำรู้ดีว่าจระเข้มีเจตนาร้าย แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ทัน "ข้ากำลังจะไปอีกฝั่งแม่น้ำเพื่อหากิน แต่ไม่รู้ว่าจะข้ามไปได้อย่างไร"
จระเข้ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มในใจ "โอ้! เช่นนั้นไม่ต้องห่วง! ข้าสามารถช่วยเจ้าได้ ข้าจะอาสาเป็นสะพานให้เจ้าและพวกพ้องกระโดดข้ามหลังข้าไปอีกฝั่ง แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าต้องเรียงแถวให้ดี เพื่อที่ข้าจะได้นับจำนวนพวกเจ้าว่ามีกี่ตัว"
กระต่ายผู้นำแกล้งทำเป็นหลงเชื่อ แล้วตอบว่า "ดีเลยท่านจระเข้ ข้าจะบอกเพื่อนๆ ให้มาเรียงแถวตามที่ท่านบอก"
จากนั้น กระต่ายผู้นำก็สั่งให้กระต่ายตัวอื่นๆ กระโดดข้ามหลังจระเข้ไปทีละตัว โดยตัวมันเองจะกระโดดเป็นตัวสุดท้าย
กระต่ายทุกตัวพากันกระโดดข้ามหลังจระเข้ไปอย่างรวดเร็ว โดยกระต่ายผู้นำจะคอยนับจำนวนไปเรื่อยๆ เมื่อถึงตัวสุดท้ายที่เป็นกระต่ายผู้นำ มันก็กระโดดขึ้นไปบนหลังจระเข้แล้วตะโกนว่า "หนึ่ง! สอง! สาม! สี่! ห้า! ครบแล้ว!"
ทันทีที่พูดจบ กระต่ายผู้นำก็ กระโดดเหยียบลงบนหัวของจระเข้ แล้ว กัดลิ้นของจระเข้ขาด กระเด็นออกมา แล้วรีบกระโดดขึ้นฝั่งไปอย่างรวดเร็ว
จระเข้รู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัส มันดิ้นพล่านด้วยความโกรธแค้นและเจ็บปวด ตั้งแต่นั้นมา จระเข้ก็ ไม่มีลิ้น และไม่สามารถพูดได้ชัดถ้อยชัดคำอีกเลย ส่วนกระต่ายผู้นำนั้น ขณะที่กระโดดข้ามฝั่งไปอย่างรวดเร็ว หางของมันก็ไป เกี่ยวกับกิ่งไม้จนหางขาด เหลือเพียงหางสั้นๆ
ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นที่มาของตำนานที่เล่าขานกันว่า เหตุใดจระเข้จึงไม่มีลิ้น และเหตุใดกระต่ายจึงมีหางด้วน และเรื่องนี้ยังเป็นบทเรียนสอนใจว่า ความเจ้าเล่ห์เพทุบายย่อมไม่นำมาซึ่งสิ่งดีงาม และ ผู้ที่ใช้สติปัญญาและไหวพริบย่อมสามารถเอาชนะผู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้
เหตุใดมนุษย์จึงกินข้าววันละสามมื้อ
นานมาแล้ว ครั้งที่โลกยังอุดมสมบูรณ์และผู้คนมีชีวิตที่เรียบง่าย มนุษย์ในสมัยนั้นไม่จำเป็นต้องกินข้าวมากมื้อเหมือนทุกวันนี้ เพราะธัญพืชและอาหารต่างๆ งอกเงยขึ้นเองตามธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ ผู้คนจึงกินอาหารเมื่อรู้สึกหิวเท่านั้น
ในยุคนั้น สุนัข ยังคงเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใกล้ชิดกับสรวงสวรรค์ มันมีหน้าที่นำสารจาก พระอินทร์ มายังโลกมนุษย์
วันหนึ่ง พระอินทร์ ทรงเห็นว่ามนุษย์มีชีวิตที่สบายเกินไป ไม่รู้จักค่าของอาหารและไม่รู้จักการทำงาน พระองค์จึงมีดำริที่จะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์ให้เหมาะสมขึ้น
พระอินทร์จึงเรียกสุนัขมาเข้าเฝ้า แล้วตรัสว่า "เจ้าสุนัขเอ๋ย เจ้าจงลงไปยังโลกมนุษย์ แล้วบอกแก่มนุษย์ทั้งหลายว่า นับแต่นี้ไป พวกเขาจะต้อง กินข้าววันละสี่มื้อ เท่านั้น หากใครไม่ปฏิบัติตาม จะไม่ได้รับพรจากเรา และชีวิตจะลำบากยิ่งขึ้น"
สุนัขรับพระบัญชาแล้วรีบลงมายังโลกมนุษย์ แต่นิสัยของสุนัขนั้นชอบเล่นซุกซนและคุยโม้โอ้อวด ระหว่างทางที่ลงมายังโลก สุนัขได้พบกับ เหล่าสัตว์ต่างๆ ที่กำลังจับกลุ่มคุยกันอย่างสนุกสนาน สุนัขจึงหยุดแวะเล่นและคุยกับเพื่อนสัตว์เหล่านั้นด้วยความเพลิดเพลิน จนลืมพระบัญชาของพระอินทร์ไปเสียสนิท
เมื่อสุนัขกลับมาถึงโลกมนุษย์ มันก็รีบไปบอกมนุษย์ตามที่นึกขึ้นได้ แต่ด้วยความที่ลืมรายละเอียดที่แท้จริงไปแล้ว สุนัขจึงบอกมนุษย์ไปว่า "พระอินทร์มีบัญชาให้พวกเจ้า กินข้าววันละสามมื้อ เท่านั้น หากใครไม่ปฏิบัติตาม จะไม่ได้รับพรจากพระองค์"
มนุษย์ทั้งหลายก็พากันเชื่อและปฏิบัติตามคำบอกเล่าของสุนัข และเริ่มกินข้าววันละสามมื้อตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน พระอินทร์ก็เสด็จลงมายังโลกมนุษย์เพื่อทอดพระเนตรการปฏิบัติตนของมนุษย์ พระองค์ทรงเห็นว่ามนุษย์กินข้าววันละสามมื้อ จึงเรียกสุนัขมาตำหนิ
"เจ้าสุนัข! เหตุใดเจ้าจึงบอกมนุษย์ผิดไปจากคำสั่งของเรา! เราบอกให้มนุษย์กินข้าววันละสี่มื้อ ไฉนเจ้าจึงบอกให้พวกเขากินวันละสามมื้อเล่า!" พระอินทร์ตรัสด้วยความไม่พอพระทัย
สุนัขรู้สึกสำนึกผิดและกลัวมาก จึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับผิด และไม่กล้าโต้แย้งสิ่งใด
พระอินทร์ทรงพิโรธในความประมาทและเลินเล่อของสุนัข จึงทรงลงโทษสุนัขโดยการ สาปให้สุนัขไม่สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้อีกต่อไป และ ลดศักดิ์สิทธิ์ของสุนัข ทำให้มันกลายเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงธรรมดาที่ต้องอาศัยข้าวจากมนุษย์กิน และถูกมนุษย์ตำหนิหากทำผิด
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มนุษย์จึงกินข้าววันละสามมื้ออย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน ส่วนสุนัขก็ไม่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้อีกเลย และต้องคอยรอคอยข้าวกินจากมนุษย์ ซึ่งบางครั้งก็ได้รับแต่คำดุด่าว่ากล่าวเมื่อทำผิดพลาด
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความประมาทเลินเล่อย่อมนำมาซึ่งผลเสียใหญ่หลวง และ การไม่รับผิดชอบในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย อาจทำให้ต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น