นิยายเรื่องพบรักที่ลานสนภูสอยดาว

**พบรักลานสนภูสอยดาว**
ในปี พ.ศ. 2555 ณ ลานสนภูสอยดาวที่มีสายลมเย็นๆ พัดพาความสดชื่นไปทั่วผืนป่า “จำเรียน” เด็กหนุ่มจากหมู่บ้านใกล้เคียง เริ่มเส้นทางการเป็นลูกหาบที่นี่ด้วยความมุ่งมั่นและความอดทน ด้วยความจำเป็นทางเศรษฐกิจเขาจึงสมัครเป็นลูกหาบ หวังจะช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้าน รายได้จากการหาบสัมภาระให้
นักท่องเที่ยวที่เดินทางขึ้นภูเขา เป็นกิโลกรัมละ 20 บาท ซึ่งถือเป็นงานหนักและท้าทาย โดยเฉพาะในเส้นทางที่สูงชันของภูสอยดาว

ในวันหนึ่งขณะที่จำเรียนกำลังหาบสัมภาระหนักไปตามทางเดิน เขาบังเอิญได้พบกับ “แก้ม” นักท่องเที่ยวสาวจากกรุงเทพฯ ที่ขึ้นมาชมธรรมชาติและต้องการค้นหาตัวเอง เธอเดินย่ำตามหลังกลุ่มเพื่อนอย่างอ่อนล้า แต่ยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า แม้เหงื่อจะหยดราวกับสายฝนก็ตาม สายตาของจำเรียนและแก้มสบกันในช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็เหมือนเวลาหยุดหมุน ราวกับชะตาชีวิตได้นำพาให้ทั้งสองได้มาพบกัน ณ ลานสนกลางภูเขาแห่งนี้

ในปีถัดมา พ.ศ. 2556 จำเรียนยังคงรับจ้างหาบสัมภาระตามเดิม แต่ปีนี้ค่าจ้างเพิ่มขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 30 บาท เขามีความหวังมากขึ้นว่าจะสามารถเก็บเงินได้มากพอที่จะส่งเสียครอบครัวได้ดียิ่งขึ้น และในใจลึกๆ เขาหวังว่าจะได้พบกับแก้มอีกครั้งบนเส้นทางนี้ ความคิดถึงที่ไม่อาจตัดขาดยังคงรอวันที่ทั้งสองจะได้พบกันอีกครั้ง

**โปรดติดตามตอนต่อไป**

**พบรักลานสนภูสอยดาว**

หลังจากที่ “แก้ม” นักท่องเที่ยวสาวจากกรุงเทพฯ ได้ใช้เวลาไม่กี่วันบนภูสอยดาว ช่วงเวลาสั้นๆ นั้นกลับเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในหัวใจเธอ ความทรงจำเกี่ยวกับ “จำเรียน” หนุ่มลูกหาบที่ทำงานอย่างซื่อสัตย์อดทนและมีความอ่อนโยน คอยช่วยเหลือเธอตลอดการเดินทางขึ้นภูเขา ทิ้งไว้ให้เป็นเรื่องราวที่ค้างคาใจเธอตลอดเส้นทางกลับบ้าน

ที่กรุงเทพฯ แก้มไม่ได้เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา แต่เธอมีฐานะร่ำรวยจนติดอันดับเศรษฐีของโลก ครอบครัวของเธอเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และมีทรัพย์สินมากมาย ทั้งเครือโรงแรมหรูและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับนานาชาติ การเดินทางมาภูสอยดาวในครั้งนี้ เป็นการพักผ่อนที่เธอต้องการห่างจากโลกที่วุ่นวายและเต็มไปด้วยการคาดหวัง และยังช่วยให้เธอได้สัมผัสกับชีวิตเรียบง่ายที่ทำให้เธอรู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น

เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ แก้มยังคงคิดถึงลานสนที่มีสายลมเย็นๆ พัดผ่าน และรอยยิ้มอบอุ่นของจำเรียนที่ทำให้เธอรู้สึกถึงความจริงใจอย่างแท้จริงที่หาได้ยากในสังคมเมืองหลวง ความคิดถึงที่ไม่อาจอธิบายได้ทำให้เธอคิดอยากกลับไปที่ภูสอยดาวอีกครั้ง เพื่อพบกับจำเรียน หรือเพียงแค่หวนกลับไปสัมผัสกับความรู้สึกเรียบง่ายนั้นอีกครั้ง

และแล้วเธอเริ่มตระหนักถึงสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตอันหรูหราของเธอ — ความจริงใจที่ไม่อาจหาซื้อได้ด้วยเงินตรา 

**โปรดติดตามตอนต่อไป**
**พบรักลานสนภูสอยดาว**

หลังจากแก้มกลับมาถึงกรุงเทพฯ ชีวิตของเธอก็กลับสู่ความหรูหราและความสะดวกสบายในทันที แม้เธอจะมีทุกสิ่งที่คนทั่วไปใฝ่ฝันถึง ทั้งบ้านหลังใหญ่ รถยนต์ราคาแพง และงานในธุรกิจที่ได้รับความเคารพ แต่หัวใจของเธอกลับโหยหาชีวิตที่เรียบง่ายที่เธอได้สัมผัสที่ภูสอยดาว ไม่ใช่เพราะความสวยงามของธรรมชาติเท่านั้น แต่เพราะความรู้สึกของอิสระและความสุขที่แท้จริงที่เธอได้รับจากการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายท่ามกลางป่าเขาและทุ่งหญ้า

เธอพบว่าชีวิตในกรุงเทพฯ อัดแน่นไปด้วยความกดดันและหน้าที่ ความเจริญที่เธอเคยคิดว่าดี กลับกลายเป็นพันธนาการที่รั้งเธอไว้ คนรอบตัวเธอล้วนแต่คาดหวังให้เธอเดินตามทางที่ครอบครัวกำหนดไว้ ไม่มีใครเข้าใจความสุขที่เธอค้นพบที่ภูสอยดาว ความยากลำบากที่เธอได้สัมผัส กลับทำให้เธอรู้สึกถึงตัวตนที่แท้จริง เป็นความรู้สึกที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในกรุงเทพฯ

แก้มรู้ดีว่าความฝันที่จะกลับไปใช้ชีวิตเรียบง่ายที่ต่างจังหวัดนั้นเป็นไปได้ยาก ภาระหน้าที่และสายตาของคนรอบข้างทำให้เธอไม่กล้าเปลี่ยนแปลงอะไร แก้มคิดถึงภูสอยดาวและจำเรียนที่ดูจะเข้าใจโลกแบบที่เธอโหยหา ในใจเธอรู้สึกว่างเปล่าทั้งๆ ที่มีทุกสิ่ง เธอปรารถนาจะกลับไป แต่เส้นทางกลับไปนั้นช่างไกลเหลือเกิน

และในคืนหนึ่ง เธอแอบนั่งมองดวงดาวผ่านหน้าต่างสูงของตึกใหญ่กลางกรุงเทพฯ คิดถึงดวงดาวที่ภูสอยดาวซึ่งส่องสว่างกว่าอย่างน่าอัศจรรย์ ใจเธอเต้นแรงขึ้นเมื่อเธอตระหนักว่า บางทีเธออาจต้องหาทางทำให้ความฝันนั้นเป็นจริง ไม่ว่ามันจะลำบากเพียงใด

**โปรดติดตามตอนต่อไป**


**พบรักลานสนภูสอยดาว**
เมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ แก้มพบว่าความคิดถึง “จำเรียน” หนุ่มลูกหาบที่มีจิตใจงดงามไม่เคยเลือนหายไปจากหัวใจของเธอเลย เธอคิดถึงรอยยิ้มของเขา ความจริงใจที่เขามอบให้ และความอบอุ่นจากช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันในป่าใหญ่ แก้มรู้สึกเหมือนได้พบเจอคนที่เธอปรารถนาจะใช้ชีวิตอยู่เคียงข้าง แต่โลกที่เธออยู่กลับเต็มไปด้วยข้อจำกัดที่ทำให้เธอต้องซ่อนความรู้สึกนี้ไว้ในใจ

เมื่อพ่อแม่และพี่น้องทราบถึงความรู้สึกที่เธอมีต่อจำเรียน พวกเขาแสดงความไม่พอใจอย่างมาก พ่อแม่ของแก้ม ซึ่งเป็นนักธุรกิจใหญ่มีหน้ามีตาในสังคม มองว่าจำเรียนเป็นแค่หนุ่มบ้านนอกที่ไร้อนาคต ทั้งยากจนและสกปรก แก้มถูกห้ามไม่ให้พูดถึงชื่อของจำเรียนอีกต่อไป พ่อแม่และพี่น้องต่างพยายามชี้ให้เธอเห็นว่าชีวิตคู่ของเธอควรจะเป็นกับคนที่ “เหมาะสม” ซึ่งสามารถมอบความมั่นคงและความหรูหราให้กับเธอได้

ในใจลึกๆ แก้มรู้สึกขัดแย้งและเจ็บปวดที่ต้องถูกบังคับให้เลือกระหว่างหัวใจกับหน้าที่ เธอรู้ว่าจำเรียนอาจไม่ได้ร่ำรวยหรือมีชื่อเสียง แต่เธอเชื่อในความดีงามของเขา เธอรู้สึกได้ว่าความรักที่เขามีให้เธอนั้นบริสุทธิ์และซื่อสัตย์ มากกว่าความหรูหราที่ผู้คนรอบตัวมอบให้

คืนหนึ่ง แก้มนั่งอยู่ที่ระเบียงห้อง มองดูแสงไฟระยิบระยับจากตึกสูง ความรู้สึกเหมือนเป็นนกในกรงทองทำให้เธอยิ่งคิดถึงอิสรภาพบนภูสอยดาว ที่นั่นเธอได้พบกับคนที่ทำให้เธอเข้าใจถึงคุณค่าของชีวิตที่แท้จริง เธออยากกลับไปอีกครั้ง อยากจะหนีจากชีวิตที่วุ่นวายและแรงกดดันของครอบครัว แต่เธอก็รู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดและการตัดขาดจากทุกสิ่งที่เธอเคยมี

ในหัวใจที่เต็มไปด้วยความสับสน แก้มได้แต่หวังว่าเธอจะกล้าพอที่จะทำตามหัวใจตัวเอง ไม่ว่าความรักครั้งนี้จะต้องผ่านอุปสรรคมากมายแค่ไหนก็ตาม

**โปรดติดตามตอนต่อไป**

**พบรักลานสนภูสอยดาว**

เมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ แก้มพบว่าความคิดถึง “จำเรียน” หนุ่มลูกหาบที่มีจิตใจงดงามไม่เคยเลือนหายไปจากหัวใจของเธอเลย เธอคิดถึงรอยยิ้มของเขา ความจริงใจที่เขามอบให้ และความอบอุ่นจากช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันในป่าใหญ่ แก้มรู้สึกเหมือนได้พบเจอคนที่เธอปรารถนาจะใช้ชีวิตอยู่เคียงข้าง แต่โลกที่เธออยู่กลับเต็มไปด้วยข้อจำกัดที่ทำให้เธอต้องซ่อนความรู้สึกนี้ไว้ในใจ

เมื่อพ่อแม่และพี่น้องทราบถึงความรู้สึกที่เธอมีต่อจำเรียน พวกเขาแสดงความไม่พอใจอย่างมาก พ่อแม่ของแก้ม ซึ่งเป็นนักธุรกิจใหญ่มีหน้ามีตาในสังคม มองว่าจำเรียนเป็นแค่หนุ่มบ้านนอกที่ไร้อนาคต ทั้งยากจนและสกปรก แก้มถูกห้ามไม่ให้พูดถึงชื่อของจำเรียนอีกต่อไป พ่อแม่และพี่น้องต่างพยายามชี้ให้เธอเห็นว่าชีวิตคู่ของเธอควรจะเป็นกับคนที่ “เหมาะสม” ซึ่งสามารถมอบความมั่นคงและความหรูหราให้กับเธอได้

ในใจลึกๆ แก้มรู้สึกขัดแย้งและเจ็บปวดที่ต้องถูกบังคับให้เลือกระหว่างหัวใจกับหน้าที่ เธอรู้ว่าจำเรียนอาจไม่ได้ร่ำรวยหรือมีชื่อเสียง แต่เธอเชื่อในความดีงามของเขา เธอรู้สึกได้ว่าความรักที่เขามีให้เธอนั้นบริสุทธิ์และซื่อสัตย์ มากกว่าความหรูหราที่ผู้คนรอบตัวมอบให้

คืนหนึ่ง แก้มนั่งอยู่ที่ระเบียงห้อง มองดูแสงไฟระยิบระยับจากตึกสูง ความรู้สึกเหมือนเป็นนกในกรงทองทำให้เธอยิ่งคิดถึงอิสรภาพบนภูสอยดาว ที่นั่นเธอได้พบกับคนที่ทำให้เธอเข้าใจถึงคุณค่าของชีวิตที่แท้จริง เธออยากกลับไปอีกครั้ง อยากจะหนีจากชีวิตที่วุ่นวายและแรงกดดันของครอบครัว แต่เธอก็รู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดและการตัดขาดจากทุกสิ่งที่เธอเคยมี

ในหัวใจที่เต็มไปด้วยความสับสน แก้มได้แต่หวังว่าเธอจะกล้าพอที่จะทำตามหัวใจตัวเอง ไม่ว่าความรักครั้งนี้จะต้องผ่านอุปสรรคมากมายแค่ไหนก็ตาม

**โปรดติดตามตอนต่อไป**


**พบรักลานสนภูสอยดาว**

แม้ว่าจะถูกพ่อแม่และพี่น้องขัดขวาง แต่แก้มก็ไม่อาจลืมจำเรียนได้ง่ายๆ หัวใจของเธอยังคงโหยหาและเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ จนกระทั่งวันหนึ่ง ความคิดถึงที่สั่งสมอยู่ภายในใจทำให้เธอตัดสินใจทำบางอย่างที่เกินกว่าที่ครอบครัวเธอจะเข้าใจ

แก้มย่องออกจากห้องอย่างเงียบๆ มุ่งหน้าไปที่โทรศัพท์มือถือของเธอ เธอได้เบอร์ติดต่อของอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวมาจากบันทึกการเดินทางของเธอเมื่อครั้งไปเยือนที่นั่น ด้วยความคาดหวังเล็กๆ เธอตัดสินใจโทรหาเจ้าหน้าที่อุทยาน หวังว่าจะได้รับข่าวคราวของจำเรียน

เสียงตอบรับจากปลายสายทำให้หัวใจของเธอเต้นแรง “สวัสดีค่ะ อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ยินดีให้บริการค่ะ” แก้มสูดหายใจลึกก่อนเอ่ยถามไปอย่างระมัดระวัง 

“ขอโทษนะคะ พอดีว่าฉันเคยเดินทางไปที่ภูสอยดาวเมื่อปีที่แล้ว…แล้วก็รู้จักกับลูกหาบที่นั่นคนหนึ่ง ชื่อจำเรียนค่ะ ฉันแค่อยากรู้ว่าเขาสบายดีไหม”

เจ้าหน้าที่ฟังคำถามของแก้มอย่างแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “อ้อ…จำเรียนเหรอครับ เขายังทำงานอยู่ที่นี่ครับ เป็นคนขยันและซื่อสัตย์เหมือนเดิม เพิ่งขึ้นไปช่วยนักท่องเที่ยวหาบสัมภาระเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เองครับ”

คำตอบนั้นทำให้หัวใจของแก้มอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด ความคิดถึงที่คอยกัดกินหัวใจเธอมาตลอดกลายเป็นความสุขเล็กๆ เมื่อรู้ว่าจำเรียนยังสบายดีและยังอยู่ที่ภูสอยดาวเช่นเดิม เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

“ขอบคุณมากค่ะ…ช่วยบอกเขาด้วยนะคะว่ามีคนจากกรุงเทพฯ คิดถึงเขา” แก้มกล่าวขอบคุณเบาๆ ก่อนวางสายลง 

หลังจากวางสายแล้ว แก้มรู้สึกเหมือนตัวเองได้ทำบางสิ่งที่ทำให้หัวใจเธอพองโต แม้ว่าจะเป็นเพียงข่าวคราวเล็กๆ น้อยๆ แต่เธอรู้ว่าความคิดถึงของเธอยังไม่ถูกขวางกั้นจากคำสั่งห้ามใดๆ และเธอจะยังคงรอคอยวันที่จะได้กลับไปภูสอยดาวอีกครั้ง 

**โปรดติดตามตอนต่อไป**


**พบรักลานสนภูสอยดาว**

ช่วงบ่ายที่ภูสอยดาว แสงแดดอ่อนสาดส่องผ่านทิวสน จำเรียนกำลังพักเหนื่อยหลังจากพานักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งเดินทางขึ้นถึงลานสน เขาทิ้งเป้สัมภาระหนักๆ ลงบนพื้น สูดลมหายใจลึกๆ รับอากาศบริสุทธิ์ของป่าใหญ่ เสียงลมพัดใบสนพลิ้วเบาๆ ทำให้เขารู้สึกสงบในใจ แต่ภายในลึกๆ ยังมีบางสิ่งที่เขาเองก็ไม่อาจละเลยได้—ความคิดถึงใครบางคนที่เคยเดินทางมาที่นี่เมื่อปีก่อน

จู่ๆ เจ้าหน้าที่อุทยานคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาจำเรียน ใบหน้าแฝงด้วยรอยยิ้มเล็กๆ 

“จำเรียน มีข่าวจากคนกรุงเทพฯ ฝากมาถึงนะ” เจ้าหน้าที่พูดพลางเอียงศีรษะ มองดูจำเรียนด้วยความสนใจ

จำเรียนขมวดคิ้วอย่างสงสัย เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีใครสักคนที่กรุงเทพฯ คิดถึงถึงขนาดต้องโทรมาสอบถาม

“ใครกันครับ?” จำเรียนถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

เจ้าหน้าที่อุทยานยิ้ม “เธอไม่ได้บอกชื่อหรอก แต่บอกแค่ว่าเป็นคนที่เคยมาเที่ยวเมื่อปีก่อน…และเธอฝากบอกว่า คิดถึงเธอ”

คำพูดนั้นทำให้หัวใจของจำเรียนเต้นแรงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ภาพของแก้ม สาวเมืองกรุงที่เขาเคยพบนั้นปรากฏขึ้นในความคิด รอยยิ้มสดใสของเธอ สายตาที่ดูจริงใจ และคำพูดที่อบอุ่นยังคงอยู่ในใจของเขา เขาไม่คิดเลยว่าจะมีใครบางคนจากโลกที่ต่างออกไปมากขนาดนั้นจะยังจำเขาได้ และที่สำคัญ เธอฝากบอกว่า “คิดถึง”

จำเรียนยืนเงียบไปสักพัก ไม่รู้จะตอบอะไรดี ความรู้สึกอบอุ่นผสมผสานกับความประหลาดใจชวนให้เขายิ้มอย่างไม่รู้ตัว

“ถ้ามีโอกาสได้พบกันอีก…จะบอกเธอด้วยใจเลยว่าฉันก็คิดถึงเธอ” จำเรียนคิดในใจ ความหวังเล็กๆ ก่อตัวขึ้นในใจของเขา หวังว่าโชคชะตาจะนำพาให้ทั้งคู่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ท่ามกลางลานสนและสายลมเย็นของภูสอยดาวที่มีเรื่องราวของพวกเขาเป็นพยาน

**โปรดติดตามตอนต่อไป**


**พบรักลานสนภูสอยดาว**

หลังจากแก้มติดต่อไปสอบถามข่าวคราวของจำเรียน ครอบครัวของเธอก็เริ่มกังวลอย่างหนัก แม่ของแก้มไม่พอใจที่ลูกสาวยังไม่ลืมหนุ่มลูกหาบคนนั้น และยิ่งกังวลว่าจะมีปัญหาถ้าแก้มตัดสินใจเดินตามหัวใจ จนแม่ตัดสินใจทำบางอย่างที่คาดไม่ถึง

ค่ำวันนั้น แม่ของแก้มโทรไปหาเจ้าหน้าที่อุทยานที่ภูสอยดาว หลังจากแนะนำตัวแล้ว แม่ของแก้มก็พูดน้ำเสียงเข้มขรึม “ดิฉันอยากให้คุณช่วยบอกลูกสาวของดิฉันว่า จำเรียนแต่งงานมีภรรยาแล้ว เพราะดิฉันไม่อยากให้ลูกสาวไปยุ่งกับเขา ลูกสาวดิฉันอาจจะหลงผิดไป แต่อยากให้ช่วยโกหกเธอสักครั้ง เพื่อให้เธอตัดใจจากเขาได้ค่ะ”

แม้เจ้าหน้าที่จะลังเลและรู้สึกผิดที่จะต้องทำเช่นนี้ แต่ด้วยความเกรงใจ จึงรับปากอย่างไม่เต็มใจนัก จนรุ่งเช้าถัดมา เจ้าหน้าที่อุทยานก็ตัดสินใจโทรกลับไปหาแก้มเพื่อบอกเรื่องนี้ตามคำขอ

แก้มรับสายด้วยความตื่นเต้น แต่คำพูดจากปลายสายกลับทำให้ทุกอย่างพลันเงียบงันลง เจ้าหน้าที่อุทยานพูดขึ้นอย่างเรียบๆ และพยายามเก็บเสียงสั่นที่รู้สึกผิด “น้องแก้ม…พี่จำเรียนเขาแต่งงานแล้วนะ มีครอบครัวที่นี่”

คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจของแก้ม หัวใจของเธอแตกสลาย ราวกับความหวังทั้งหมดที่เธอเก็บเกี่ยวมาตลอดถูกปล่อยให้สลายไปในอากาศ เสียงสะอื้นเบาๆ ของแก้มค่อยๆ ดังขึ้น ก่อนจะกลายเป็นการร้องไห้ที่ไม่มีวันหยุด เธอไม่อาจเชื่อว่าเขาไปมีครอบครัวใหม่อย่างรวดเร็วเช่นนี้

แก้มนั่งลงบนเตียง กอดเข่าพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้จบ ทุกความคิด ความหวังที่เคยมี และฝันถึงชีวิตเรียบง่ายที่เธอปรารถนากับจำเรียนพลันพังทลายลง เธอรู้สึกถูกหักหลัง รู้สึกเจ็บปวดกับความจริงที่โหดร้าย เธอไม่ได้รู้เลยว่าความเจ็บนี้คือแผนการของแม่ที่พยายามปกป้องเธอจากความสัมพันธ์ที่เธอเชื่อว่าผิด

ในคืนนั้น แก้มนอนร้องไห้จนแทบหลับไปทั้งน้ำตา ใจของเธอแตกสลาย ไม่มีใครรู้ว่าเธอจะทำอย่างไรต่อไป แต่ในใจเธอรู้ดีว่า ความรักที่เธอเคยมีให้กับจำเรียนยังคงอยู่ แม้คำพูดนั้นจะทิ้งรอยบาดแผลที่ลึกเกินกว่าจะลืมได้ง่ายๆ

**โปรดติดตามตอนต่อไป**


**พบรักลานสนภูสอยดาว**

จำเรียนไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าในช่วงเวลาสั้นๆ ที่เขาได้พบกับแก้ม สาวน้อยจากกรุงเทพฯ ผู้มีชีวิตที่แตกต่างจากเขาอย่างลิบลับ จะก่อให้เกิดความผูกพันในหัวใจของเธอเอง จำเรียนยอมรับในใจว่าเขารู้สึกดีกับเธอเช่นกัน แต่เขาก็รีบปราบความรู้สึกนั้นให้จางหายไป เพราะเขารู้ดีว่าไม่มีทางที่พวกเขาจะเป็นคู่กันได้ 

จำเรียนเป็นเพียงหนุ่มใหญ่ในวัย 52 ปี ที่มีฐานะยากจน เขาทำงานเป็นลูกหาบเพื่อหาเงินประทังชีวิตวันต่อวัน ร่างกายเขาแกร่งแต่ก็มากับริ้วรอยแห่งการทำงานหนัก แก้มซ้ายของเขามีรอยแผลเป็นลึกจากอุบัติเหตุตอนหนุ่มๆ รอยแผลที่ทำให้เขารู้สึกอัปลักษณ์และไม่คู่ควรกับใครสักคน และไม่เคยคิดเลยว่าสาวสวยที่เพียบพร้อมทั้งฐานะและอนาคตอย่างแก้มจะมองเห็นเขาเกินกว่าการเป็นเพียงแค่ลูกหาบคนหนึ่ง

แก้มอายุเพียง 20 ปี มีความงามและความสดใสที่ดึงดูดใจ แต่ความงามของเธอกลับไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกว่าจำเรียนอัปลักษณ์ กลับกัน ความจริงใจและความอ่อนโยนของเขาคือสิ่งที่เธอมองเห็น เธอไม่สนใจช่องว่างอายุ 32 ปีที่ห่างกัน หรือความยากลำบากของชีวิตเขา แต่เพราะสิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย

เธอแอบรักเขาอย่างเงียบๆ ตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จัก แต่จำเรียนไม่เคยแสดงความรู้สึกอะไรออกมา นอกจากความสุภาพและการทำงานอย่างขยันขันแข็ง แม้เขาจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างจากเธอ แต่เขาก็เลือกที่จะทำเหมือนว่าไม่มีอะไร เพราะเขาคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอในทุกทาง

สำหรับแก้ม ความรักครั้งนี้อาจจะเป็นสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เธอกลับคิดว่าความรักนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับฐานะ อายุ หรือความสมบูรณ์แบบภายนอก สิ่งที่สำคัญสำหรับเธอคือหัวใจที่จริงใจของจำเรียน เธอต้องการให้เขาเห็นว่าเขามีคุณค่ามากกว่าที่เขาคิด และเธอพร้อมที่จะฝ่าฟันทุกอย่างเพื่อให้เขารับรู้ถึงความรักที่เธอมีให้เขา

ในใจของเธอ แม้จะเจ็บปวดกับอุปสรรคที่ขวางกั้น แต่เธอยังคงหวังว่าสักวันหนึ่ง เขาจะยอมเปิดใจรับความรักที่เธอมีให้ เพราะสิ่งที่เธอเห็นในตัวเขา คือสิ่งที่แท้จริงและงดงามเกินกว่าภาพลักษณ์ภายนอกใดๆ

**โปรดติดตามตอนต่อไป**

**พบรักลานสนภูสอยดาว**

ความคิดถึงจำเรียนทำให้แก้มตัดสินใจหวนกลับมาที่ลานสนภูสอยดาวอีกครั้ง แม้จะรู้ว่าเส้นทางนี้จะเต็มไปด้วยความยากลำบาก เธอไม่สนว่าครอบครัวจะห้ามปรามหรือคัดค้านเพียงใด เธอรู้เพียงแค่ว่าเธอต้องการเจอจำเรียนสักครั้งหนึ่ง เพื่อให้เขาได้รู้ถึงความรู้สึกของเธอที่เก็บซ่อนไว้ในใจ

แต่ความลับนี้ไม่อาจรอดสายตาพ่อแม่ของแก้มได้ เมื่อรู้แผนการของลูกสาว พวกเขารีบเดินทางไปที่ลานสนก่อนเธอ และได้พบกับจำเรียนก่อนโดยบังเอิญ จำเรียนตกใจไม่น้อยเมื่อรู้ว่าพ่อแม่ของแก้มตั้งใจมาพบเขา และเขาก็ยิ่งตกใจหนักขึ้นเมื่อพวกเขาเสนอให้เขาย้ายไปทำงานที่เชียงใหม่ พวกเขาบอกว่าที่นั่นมีธุรกิจของครอบครัวรออยู่ พร้อมเสนอค่าจ้างสูงลิ่วที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้

จำเรียนรู้ดีว่าจุดประสงค์ของพ่อแม่แก้มคืออะไร แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก เพราะเขาต้องการรายได้ที่มั่นคงเพื่อดูแลครอบครัวของเขาเอง การย้ายไปเชียงใหม่แม้จะทำให้เขาเจ็บปวด แต่เขาคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับแก้มเช่นกัน เขาอยากให้เธอมีชีวิตที่ดีกับคนที่เหมาะสม เขาจึงตอบตกลงโดยไม่ลังเล และจากไปเงียบๆ ในคืนนั้น

เมื่อแก้มมาถึงลานสนในวันถัดมา ใจเธอเต็มไปด้วยความหวังที่จะได้พบหน้าเขาอีกครั้ง แต่กลับได้รับข่าวจากเจ้าหน้าที่ว่า จำเรียนได้เดินทางไปทำงานที่เชียงใหม่แล้ว เธอไม่อยากเชื่อหูตัวเอง หัวใจของเธอเหมือนแตกสลาย เธอพยายามถามหาข้อมูลเพิ่มเติม หวังว่าจะได้รับคำตอบที่แตกต่างไป แต่ทุกคนต่างยืนยันว่าเขาเดินทางไปแล้วจริงๆ

แก้มนั่งลงที่พื้น ลานสนที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความทรงจำกลับกลายเป็นที่แห่งความโศกเศร้า น้ำตาของเธอไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เธอตัดสินใจกลับกรุงเทพฯ ด้วยหัวใจที่เจ็บปวด ความฝันและความหวังที่เธอมีต่อความรักครั้งนี้เหมือนถูกฉีกกระชากออกไป

ตลอดทางกลับ เธอได้แต่นึกถึงรอยยิ้มและความอบอุ่นที่จำเรียนเคยมอบให้ แม้จะไม่มีใครเข้าใจหรือเห็นด้วย แต่ในใจของแก้ม เธอรู้ดีว่าเขาคือคนที่เธอรักอย่างแท้จริง 

**โปรดติดตามตอนต่อไป**

**พบรักลานสนภูสอยดาว**

หลายเดือนผ่านไป ตั้งแต่จำเรียนจากภูสอยดาวมาทำงานที่เชียงใหม่ เขาไม่เคยลืมความหลังและความรู้สึกที่มีต่อแก้มเลย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบ จำเรียนจึงทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ เขาขยันและซื่อสัตย์ จนทำให้ทุกคนในบริษัทที่พ่อแม่แก้มดูแลนั้นประทับใจในตัวเขา

พ่อแม่ของแก้มมองเห็นถึงความตั้งใจและความเป็นคนดีของจำเรียน เขาไม่ใช่แค่คนทำงานธรรมดาอีกต่อไป แต่กลับเป็นคนที่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างานในทุกระดับ ถึงขั้นที่พ่อแม่ของแก้มตัดสินใจโปรโมทเขาให้เป็นผู้จัดการ แม้จะเป็นตำแหน่งที่เหนือความคาดหมายของจำเรียน แต่เขาก็รู้สึกขอบคุณและตั้งใจทำงานในตำแหน่งใหม่ด้วยความเต็มใจ

ในทุกวันจำเรียนทำงานอย่างหนัก เขาทำทุกอย่างเพื่อให้สมกับความไว้วางใจที่ได้รับ แต่ในใจลึกๆ เขายังคงมีความคิดถึงที่เก็บไว้อย่างเงียบๆ เขายังคิดถึงแก้ม หวังเพียงว่าสักวันหนึ่งจะได้เจอเธออีกครั้ง แม้ความฝันนั้นจะดูเลือนราง 

พ่อแม่ของแก้มสังเกตเห็นถึงความมุ่งมั่นของจำเรียน และเริ่มรู้สึกผิดเล็กๆ กับแผนการที่เคยทำเพื่อแยกทั้งสองออกจากกัน เขาเป็นคนดีจริงๆ และสิ่งที่เขาทำแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ต้องการทรัพย์สินใดๆ ของครอบครัว แต่เป็นเพียงความรักและความจริงใจที่เขามี

ขณะที่จำเรียนก้าวขึ้นเป็นผู้จัดการในบริษัท แก้มเองที่กรุงเทพฯ ก็ยังคงมีความรู้สึกค้างคาใจ แม้จะพยายามใช้ชีวิตให้เป็นปกติ แต่เธอก็ยังไม่อาจลืมเขาได้ ทุกค่ำคืนเธอยังคงนึกถึงภาพใบหน้าของเขา และหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะได้กลับมาเจอกันอีก

**โปรดติดตามตอนต่อไป**

**พบรักลานสนภูสอยดาว**

หลังจากที่แก้มได้ยินข่าวว่าอ้ายจำเรียนได้ทำงานที่เชียงใหม่และก้าวหน้าจนกลายเป็นผู้จัดการในบริษัทของพ่อแม่เธอ ความคิดถึงและความหวังที่เคยฝังลึกในใจของเธอเริ่มกลับมาสะท้อนให้เห็นอีกครั้ง แก้มตัดสินใจว่าจะเดินทางไปเชียงใหม่ เพื่อตามหาความจริงและหาคำตอบในใจว่า เขายังคิดถึงเธอเหมือนที่เธอคิดถึงเขาหรือไม่

ในวันเดินทางของแก้ม พี่สาวของเธอที่รู้เรื่องนี้โดยบังเอิญรีบเข้าไปขัดขวาง ไม่อยากให้แก้มเดินทางไปเชียงใหม่ตามลำพัง พี่สาวรู้ดีว่าความรักของแก้มกับจำเรียนเป็นเรื่องที่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย และหากแก้มไปเชียงใหม่จริงๆ เรื่องนี้อาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่

“แก้ม! อย่าทำแบบนี้! ถ้าพ่อแม่รู้ พี่จะรับไม่ไหว!” พี่สาวพูดเสียงแข็ง ขัดขวางการเดินทางของแก้ม

แก้มสบตากับพี่สาว ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “พี่สาว! ฉันต้องไป! ฉันต้องเจอเขา ฉันไม่สามารถปิดบังความรู้สึกนี้ไว้ได้อีกต่อไป” แก้มพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตั้งใจ

พี่สาวรู้ว่าไม่สามารถยับยั้งความตั้งใจของแก้มได้ จึงตัดสินใจโทรหาพ่อแม่ทันที และเล่าเรื่องที่แก้มจะเดินทางไปเชียงใหม่เพื่อไปพบจำเรียน

พ่อแม่ของแก้มตกใจและรีบคิดแผนการเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทั้งสองพบกัน พ่อของแก้มโทรไปหาจำเรียนอย่างเร่งรีบ “จำเรียน! เราต้องการให้คุณกลับมาช่วยงานที่กรุงเทพฯ ด่วน! เรื่องงานมีความสำคัญมาก อย่าให้ใครรู้ว่าเรามีเรื่องอื่นที่ต้องทำในตอนนี้”

จำเรียนที่ได้รับคำสั่งจากพ่อแม่แก้มถึงกับตกใจ เขายังไม่ทันจะตั้งตัว คำพูดของพ่อแม่แก้มทำให้เขารู้ว่าอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น แต่เขาไม่กล้าถามหรือตอบอะไรไปมาก เพราะรู้ดีว่าไม่ควรมีความสัมพันธ์ใดๆ กับแก้ม

“เข้าใจครับ ผมจะเดินทางไปทันที” จำเรียนตอบกลับไปด้วยเสียงเครียดๆ

ขณะที่แก้มใกล้จะถึงเชียงใหม่ เธอได้รับโทรศัพท์จากพี่สาวอีกครั้ง แจ้งให้เธอรู้ว่า “อ้ายจำเรียนเขากลับไปช่วยงานที่กรุงเทพฯแล้วนะ เขาคงไม่อยากพบคุณ” คำพูดนั้นทำให้แก้มรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน เธอยืนนิ่งอยู่ในสถานีรถไฟ รู้สึกเหมือนท้องฟ้าเปลี่ยนสีไปหมด น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว

“ทำไมต้องเป็นแบบนี้?” แก้มคิดในใจ และรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่มันแล่นเข้ามาในหัวใจอย่างรวดเร็ว

เธอไม่รู้ว่าเธอควรทำอะไรต่อไป แต่ใจหนึ่งยังคงคิดถึงเขา และฝันถึงวันที่ทั้งสองจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง

**โปรดติดตามตอนต่อไป**คลิปที่1

**พบรักลานสนภูสอยดาว**คลิปที่2

หลังจากที่แก้มได้รับข่าวว่าอ้ายจำเรียนได้ย้ายกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ เธอไม่รอช้า เดินทางมุ่งหน้าไปหามเขา หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความหวังที่หลังจากหลายเดือนแห่งความเจ็บปวด ในที่สุดเธอก็จะได้พบเขาอีกครั้ง การตัดสินใจที่ดูเหมือนจะยากเย็นและถูกต่อต้านจากทุกคน แต่ในที่สุดมันก็กลายเป็นทางเลือกเดียวที่แก้มสามารถทำได้

แก้มถึงออฟฟิศที่อ้ายจำเรียนทำงานด้วยใจที่เต้นรัว เธอเห็นเขานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานท่ามกลางความยุ่งเหยิงของงาน แต่เมื่ออ้ายจำเรียนหันมามองและเห็นเธอ ยิ้มที่มุมปากก็ปรากฏขึ้นทันที

“จำเรียน!” แก้มวิ่งไปหาจำเรียนอย่างรวดเร็ว น้ำตาคลอเบ้าเมื่อได้เห็นเขาอีกครั้ง แม้เวลาจะผ่านไปหลายเดือน ความรู้สึกในใจของเธอก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง เธอวิ่งเข้าไปกอดเขาอย่างแน่นหนา

“แก้ม…ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?” จำเรียนถามด้วยความตกใจ เขากอดเธอกลับด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง แต่ในใจกลับรู้สึกอึดอัด เมื่อรู้ว่าไม่สามารถตอบรับความรักนี้ได้เต็มที่

แก้มหายใจเข้าเต็มปอด “ฉันคิดถึงคุณ…ไม่สามารถทนได้แล้ว ฉันต้องมาหาคุณ” เธอพูดเสียงสั่นเครือ

ในขณะนั้น พ่อแม่ของแก้มที่รู้ข่าวว่าแก้มมาที่กรุงเทพฯ รีบเดินทางมาถึงออฟฟิศ โดยไม่ทันระวังอะไรทั้งนั้น พอเห็นแก้มกอดจำเรียน พ่อแม่ของแก้มก็ร้อนใจสุดๆ และเดินตรงไปหาทั้งสอง

“แก้ม! นี่มันอะไรกัน!” พ่อของแก้มตะคอกเสียงดัง แต่ในใจเต็มไปด้วยความโกรธและความกังวล พ่อแม่ของแก้มไม่ยอมรับและไม่ต้องการให้แก้มมีความสัมพันธ์กับจำเรียน เพราะพวกเขามองว่าเขายังมีฐานะที่ไม่เหมาะสมกับลูกสาวของพวกเขา

“ผมขอโทษครับคุณพ่อคุณแม่ ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดเรื่องแบบนี้” จำเรียนพูดด้วยเสียงเบา เขารู้ดีว่าเขาไม่ควรทำให้พ่อแม่ของแก้มผิดหวัง

แต่พ่อแม่ของแก้มไม่ฟัง พ่อของแก้มพูดเสียงแข็งว่า “ออกไป! ฉันไม่ต้องการให้คนแบบคุณมาทำงานที่นี่” เขาชี้ไปที่จำเรียนและสั่งให้เขาออกจากที่ทำงานทันที

จำเรียนรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลายลง เขาไม่อยากทำให้แก้มเจ็บปวด แต่มันดูเหมือนว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่น พ่อแม่ของแก้มไม่ยอมรับเขาเลยแม้แต่น้อย

“คุณพ่อ! อย่าทำแบบนี้! เขาไม่ใช่คนเลวร้าย เขาดีที่สุดสำหรับหนู!” แก้มพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แต่พ่อแม่ของเธอไม่ได้ยอมรับ และในที่สุด จำเรียนก็ต้องยอมออกจากงานตามคำสั่ง

การตัดสินใจที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของเขาคือการเดินจากไปทั้งๆ ที่ยังรักแก้มอยู่

แก้มยืนอยู่ในห้องนั้น น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง เธอรู้ดีว่าเธอไม่สามารถทำให้พ่อแม่ของเธอเข้าใจได้ แต่ความรักที่มีต่อจำเรียนก็ไม่สามารถหายไปจากใจเธอได้

“หนูขอโทษ…” แก้มพูดด้วยเสียงอ่อนแอ ก่อนจะหันไปหาจำเรียนที่เดินออกไปแล้ว

แต่ในใจของเธอ เธอยังคงเชื่อว่าความรักครั้งนี้จะต้องมีวันหนึ่งที่ทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกันอย่างแท้จริง

**โปรดติดตามตอนต่อไป**

**พบรักลานสนภูสอยดาว**

หลังจากที่เหตุการณ์วันนั้นผ่านไป ความเงียบสงัดกลับมาครอบงำบ้านของแก้ม พ่อแม่ของเธอยังคงไม่ยอมรับการตัดสินใจของแก้มในการรักและอยากอยู่กับจำเรียน พวกเขามองว่าความรักของแก้มกับเขานั้นเป็นไปไม่ได้ และพวกเขาก็พยายามหาทางยับยั้งมันไม่ให้เกิดขึ้น

ในวันหนึ่ง แก้มตัดสินใจที่จะพูดความในใจและอธิบายให้พ่อแม่ฟัง ถึงความรักที่เธอมีให้กับจำเรียน เธอรู้ว่าไม่ง่ายที่จะทำให้พ่อแม่เข้าใจ แต่เธอก็พร้อมที่จะเสี่ยงกับทุกอย่าง เพื่อให้พวกเขาเห็นความจริงในใจของเธอ

“พ่อแม่คะ หนูอยากให้ท่านฟังหน่อยค่ะ” แก้มเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงและจริงจัง ขณะที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกของบ้าน พ่อแม่ของเธอที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันมีท่าทางไม่พอใจ แต่ก็เงียบเพื่อรอฟัง

“หนูรักอ้ายจำเรียนค่ะ เขาคือคนที่หนูรักและอยากใช้ชีวิตด้วยกัน ไม่ใช่แค่ความรู้สึกชั่วคราว แต่หนูเชื่อว่าความรักของเรามันแท้จริง หนูไม่ได้มองแค่ฐานะหรือสิ่งที่เขามี แต่หนูมองที่หัวใจและความดีของเขา” แก้มพูดออกมาอย่างตั้งใจ

พ่อแม่ของเธอเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่แม่ของแก้มจะปรี๊ดเสียงดัง "ฟิ๊ยะ!" แม่ตบหน้าผากตัวเองเสียงดัง "เอาอีกแล้วเหรอแก้ม! ฉันบอกแล้วว่าคนอย่างเขาไม่มีอะไรดี! เขาคือใครกัน เป็นแค่คนงานธรรมดา!" แม่ตะคอกด้วยความโกรธ ใบหน้าของแม่แดงก่ำไปด้วยความไม่พอใจ

“แม่! พ่อ! เขาดีจริงๆ นะคะ เขาตั้งใจทำงาน เขาขยัน เขาเป็นคนดีที่ใส่ใจคนรอบข้าง หนูรักเขาและอยากใช้ชีวิตกับเขา” แก้มพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ยังคงมั่นใจ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่กระทบกับคำพูดของแม่

แม่ของแก้มยืนขึ้นอย่างรวดเร็วและตะโกนออกมาด้วยความโกรธ “แก้ม! อย่าบอกให้ฉันรู้เรื่องนี้อีก! ถ้าแกยังรักเขา ฉันจะไม่ยอมให้แกอยู่ที่นี่! ลืมเขาไปซะ! ถ้าไม่อยากให้ฉันเสียใจมากกว่านี้!”

คำพูดของแม่เหมือนมีดที่ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของแก้ม เธอพยายามกลั้นน้ำตา แต่ไม่อาจทำได้ สายตาของเธอพร่ามัวไปด้วยน้ำตาที่ไหลลงมาแก้มไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เธอไม่อยากให้พ่อแม่ผิดหวัง แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ไม่สามารถทำตามคำขาดของพวกเขาได้

“หนูรักเขา” แก้มพูดออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ แม้รู้ว่ามันจะทำให้พ่อแม่โกรธ แต่มันก็เป็นความจริงในใจที่เธอไม่สามารถเก็บไว้ได้อีกต่อไป

“แก้ม! ไปจากที่นี่ซะ! ฉันไม่อยากเห็นหน้าแกอีก!” แม่ของแก้มตะคอกด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ แก้มรู้ดีว่าเธอทำให้แม่ผิดหวังมากแค่ไหน แต่ความรักที่มีให้กับจำเรียนมันก็ไม่สามารถหายไปจากใจเธอได้

แก้มหันหลังกลับไป รู้สึกเจ็บปวดที่ต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่ยากลำบากนี้ แต่ในใจของเธอก็ยังคงมั่นใจว่าเธอจะไม่ยอมแพ้

**โปรดติดตามตอนต่อไป**


**พบรักลานสนภูสอยดาว**

เมื่อพ่อแม่และพี่น้องของแก้มได้รู้ว่าเธอยังคงรักอ้ายจำเรียน และยืนยันที่จะเลือกเขาเป็นคนที่เธออยากใช้ชีวิตร่วมด้วย พวกเขาก็โกรธและทำการข่มขู่โดยใช้สมบัติและฐานะที่พวกเขามีเป็นเครื่องมือในการบีบบังคับแก้ม

“แก้ม! ถ้าแกยังเลือกเขา เราจะไม่ให้แกมีสิทธิ์อะไรในสมบัติของเรา!” พ่อของแก้มพูดเสียงดุ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความผิดหวัง

พี่สาวของแก้มก็เข้ามาสนับสนุนคำพูดของพ่อ “ใช่! ถ้าแกเลือกคนจนๆ แบบเขา แกจะไม่ได้อะไรจากครอบครัวเราเลย! จะต้องไปใช้ชีวิตเหมือนคนยากจน ไร้อนาคต!”

แม้ว่าคำขู่เหล่านี้จะทำให้แก้มรู้สึกเจ็บปวด แต่ความรักที่เธอมีต่ออ้ายจำเรียนมันใหญ่และแข็งแกร่งเกินกว่าจะยอมแพ้ต่อแรงกดดันจากพ่อแม่และพี่น้อง เธอทำใจแน่วแน่ว่าจะเลือกทางเดินของตัวเอง

“ถ้าแม่และพ่อไม่ให้หนูสมบัติ หรืออะไรเลย หนูก็ยินดีค่ะ” แก้มตอบด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่ “หนูเลือกอ้ายจำเรียน เพราะหนูรักเขา และไม่ต้องการอะไรอื่นแล้ว นอกจากชีวิตที่มีความสุขกับเขา”

พ่อแม่และพี่น้องของแก้มไม่มีคำพูดใดที่จะหยุดเธอได้ในตอนนี้ พวกเขายืนมองเธอไปด้วยความไม่พอใจและหงุดหงิด แต่แก้มไม่สนใจสิ่งที่พวกเขาพูด เธอมีความตั้งใจแน่วแน่

แก้มตัดสินใจเดินทางไปหาจำเรียนที่ลานสนภูสอยดาวอีกครั้ง โดยทิ้งชีวิตที่เคยมีในกรุงเทพฯ ไว้เบื้องหลัง ด้วยความเชื่อมั่นว่าแม้จะเป็นชีวิตที่ยากจนและเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่เธอจะมีความสุขมากกว่าเมื่ออยู่ข้างเขา

ชีวิตในลานสนภูสอยดาวนั้นแตกต่างจากชีวิตที่กรุงเทพฯ มาก แก้มต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ เรียนรู้วิถีชีวิตที่เรียบง่ายและท้าทาย แต่เธอกลับรู้สึกเต็มไปด้วยความสุข ความสุขที่เกิดจากความรักและการได้อยู่ร่วมกับคนที่เธอรัก

“อ้ายจำเรียนค่ะ ขอบคุณที่รับหนูมาอยู่กับอ้าย” แก้มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเมื่ออ้ายจำเรียนพาเธอไปอยู่ในบ้านเล็กๆ ที่มีเพียงสองคน

อ้ายจำเรียนยิ้มให้กับเธอ “หนูไม่ต้องขอบคุณหรอก แค่เรามีความสุขไปด้วยกันก็พอแล้ว” เขาตอบด้วยความอบอุ่น

ชีวิตของทั้งสองในลานสนภูสอยดาวนั้นไม่หรูหรา แต่เต็มไปด้วยความสุขจากการที่ได้อยู่เคียงข้างกัน ไม่ต้องการสิ่งใดๆ มากไปกว่าความรักและการร่วมมือกันสร้างชีวิตใหม่ในวิถีที่พวกเขาเลือกเอง

ในที่สุด แก้มก็พบความสุขที่แท้จริงในชีวิตของเธอ แม้จะไม่ได้สิ่งที่พ่อแม่มอบให้ แต่ความรักที่มีให้กันระหว่างเธอกับอ้ายจำเรียนคือสมบัติที่มีค่าที่สุดสำหรับเธอ

**โปรดติดตามตอนต่อไป**


**พบรักลานสนภูสอยดาว**

สิบปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชีวิตของแก้มกับอ้ายจำเรียนเต็มไปด้วยความสุขและความเรียบง่าย ภายใต้ร่มเงาของต้นสนภูสอยดาวที่มีลมพัดเย็นๆ และทิวทัศน์ของธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งสองคนได้สร้างชีวิตใหม่ด้วยกันอย่างมีความสุข แม้ไม่มีสิ่งของมากมาย แต่มันก็เพียงพอสำหรับพวกเขา

แก้มยืนมองท้องฟ้ากว้างที่มีเมฆลอยผ่านไปในวันที่สดใส เธอรู้สึกขอบคุณที่เลือกเส้นทางนี้ ที่เลือกอ้ายจำเรียนและชีวิตที่ไม่มีความหรูหรา แต่เต็มไปด้วยความรักและความสุขอย่างแท้จริง

ในวันนี้ ทั้งสองคนมีลูกด้วยกันสองคน ชายหนุ่มตัวเล็กชื่อ "น้อย" และสาวน้อยชื่อ "จั้ม" ทั้งสองมีใบหน้าน่ารักน่าชัง พวกเขาทั้งสองเป็นที่รักของพ่อแม่และเป็นแก้วตาดวงใจของทั้งสอง

น้อย, ลูกชายคนโตวัยสิบขวบ มักจะวิ่งไปตามทางในป่า สนุกสนานกับการปีนต้นไม้และเรียนรู้การเก็บของป่า ส่วนจั้ม, ลูกสาวคนเล็ก อายุแปดขวบ ก็ชอบวิ่งเล่นในลานสน เธอชอบทำงานบ้านเล็กๆ เช่น เก็บจานล้างถ้วย และช่วยแม่ทำอาหาร ทุกครั้งที่แก้มมองไปที่ลูกๆ ทั้งสองคน เธอก็รู้สึกเต็มไปด้วยความรักและภาคภูมิใจ

"น้อย! จั้ม! วันนี้จะไปเก็บเห็ดกันไหม?" แก้มถามลูกๆ ด้วยรอยยิ้ม

"ไปค่ะแม่!" จั้มตอบด้วยน้ำเสียงสดใส

"ไปสิครับแม่!" น้อยตะโกนด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

อ้ายจำเรียนเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ แก้ม เขาหยุดยิ้มมองลูกๆ ของเขาวิ่งเล่นไปมา “เด็กๆ เติบโตเร็วจริงๆ นะแก้ม”

แก้มหันไปมองเขาด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “ค่ะ เราทำงานหนักมาเหนื่อยๆ แต่ก็มีความสุขที่เห็นพวกเขาเติบโตเป็นเด็กดี มีความสุขทุกวัน”

เวลาผ่านไปทุกๆ ปี ความรักที่มีต่อกันก็ยิ่งมั่นคงขึ้น ทั้งสองได้ใช้ชีวิตที่ท้าทายแต่เต็มไปด้วยความรัก ความสามัคคี และการเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ชีวิตในลานสนภูสอยดาวไม่เคยหรูหรา แต่มันคือชีวิตที่เต็มไปด้วยความหมายในทุกวัน

ในตอนนี้ ทุกคนได้เรียนรู้ว่าความสุขไม่จำเป็นต้องมาจากสิ่งของที่มีราคา แต่กลับมาจากความรักและความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน การได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและสู้ชีวิตไปด้วยกันคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด

**โปรดติดตามตอนต่อไป**

**พบรักลานสนภูสอยดาว: ตอนอวสาน**

หลายปีผ่านไปตั้งแต่วันที่พ่อแม่ของแก้มตัดสินใจมอบทรัพย์สินและกิจการทั้งหมดให้กับแก้มและอ้ายจำเรียน แก้มและจำเรียนได้ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบและเต็มไปด้วยความสุขในลานสนภูสอยดาว ลูกหลานต่างมาเยี่ยมเยียนพวกเขาเป็นประจำ พวกเขาต่างรู้สึกอบอุ่นใจที่ได้เห็นครอบครัวขยายใหญ่ขึ้นและมีความรักความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น

วันหนึ่งในช่วงฤดูหนาว แก้มและจำเรียนนั่งอยู่บนม้านั่งที่ลานสน มองทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยต้นสนสูงตระหง่านและหมอกที่ลอยอยู่ไกลออกไป ทั้งสองต่างเงียบ แต่ความรู้สึกที่มีต่อกันนั้นลึกซึ้งโดยไม่ต้องพูดคำใด

“อ้ายจำเรียน” แก้มเอ่ยขึ้นเบาๆ “เรามาถึงวันนี้ได้เพราะความรักที่เรามีให้กัน เราผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะ ทั้งสุขและทุกข์ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือใจของอ้ายที่มีให้หนู”

จำเรียนหันมายิ้มอ่อนโยน เขายกมือขึ้นจับมือแก้มแน่น “แก้มเองก็ให้ชีวิตที่ไม่เคยคาดฝันกับอ้าย แก้มทำให้ทุกวันที่นี่มีความหมาย”

ทั้งสองนั่งเคียงข้างกัน มองภาพของลูกหลานที่วิ่งเล่นรอบๆ ตัว ความรักที่แท้จริงและความสุขที่เกิดจากการอยู่ด้วยกันทำให้ทั้งคู่รู้ว่าชีวิตนี้คุ้มค่าเพียงใด

ในบ่ายวันหนึ่งที่อากาศสดใส พ่อแม่ของแก้มได้เดินทางมาเยี่ยม หลังจากเวลาผ่านไปนาน ทั้งครอบครัวได้รวมตัวกันอีกครั้ง มีเสียงหัวเราะและน้ำตาที่แสนอบอุ่น พ่อแม่ของแก้มยิ้มให้ลูกสาวและจำเรียน ความเข้าใจที่ลึกซึ้งและการยอมรับที่เกิดขึ้นในที่สุดทำให้ครอบครัวของพวกเขากลับมาสมานฉันท์และแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม

เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ แก้มและจำเรียนได้พูดถึงความสุขในชีวิตที่ผ่านมา พวกเขารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างได้สมบูรณ์แบบแล้ว เมื่อดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้า ลมเย็นพัดมาเบาๆ พวกเขาทั้งคู่หลับตาลงเคียงข้างกัน ความสงบสุขอยู่ในใจของทั้งสองคนเสมอ

**จบ***

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม