นิทานสู้ชีวิตเรื่องอ้ายจำเรียนตอนที่1-10
อยากจะให้ทิป/สนับสนุนบทความและนิทานของอ้ายจำเรียน/เต้นม้าด้วยการให้ติ้ปเพื่อเป็นกำลังใจในการทำคอนเทนต์ต่อไปได้ที่👇
พร้อมเพย์👉0892718015
เพลย์พาล👉0892718015
ทรูมันนี่วอเลท👉0892718015
เบอร์👉0892718015
จำเรียน จันทร์รักษา
แอดไลน์ไอดี tel0892718015
นานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่กลางหุบเขา มีชายคนหนึ่งชื่อว่า "อ้ายจำเรียน" เขาเป็นคนที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ เขาอยากจะเดินทางข้ามภูเขาไปยังอีกฟากหนึ่ง ซึ่งว่ากันว่าเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยโอกาสและความสำเร็จ อ้ายจำเรียนตั้งเป้าว่าเขาจะต้องไปถึงที่นั่นให้ได้แม้จะต้องใช้เวลานานเพียงใดก็ตาม
อ้ายจำเรียนเริ่มออกเดินทางตั้งแต่อาทิตย์ขึ้น เขาก้าวเดินไปเรื่อยๆ ตามทางคดเคี้ยวที่เต็มไปด้วยหินและดินฝุ่น เขาต้องปีนข้ามหน้าผาและฝ่าฟันป่าไม้หนาทึบ วันเวลาผ่านไป เขาก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยและท้อใจ ในบางครั้ง เขาก็แอบคิดว่า บางทีความฝันของเขาอาจจะเป็นไปไม่ได้จริงๆ และเขาก็ควรกลับไปยังหมู่บ้านเสียที
แต่ในทุกๆ ครั้งที่เขาท้อใจ เขาจะหยุดพัก นั่งใต้ร่มไม้ สูดลมหายใจลึกๆ มองดูทิวทัศน์รอบตัว เขาได้ยินเสียงนกร้อง เสียงลมพัดผ่านต้นไม้ และได้สัมผัสถึงความสวยงามของธรรมชาติ เขารู้สึกถึงความสุขของการเดินทาง แม้จะต้องเหน็ดเหนื่อย แต่เขาก็ได้เรียนรู้และเห็นสิ่งใหม่ๆ ในทุกก้าวที่เขาเดิน
ทุกครั้งที่พัก อ้ายจำเรียนจะคิดถึงความฝันของเขา เขามองไปข้างหน้าและบอกกับตัวเองว่า “เป้าหมายยังอยู่ไกล แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ยังไงก็ต้องถึง” จากนั้นเขาก็จะลุกขึ้นและเดินต่อไป แม้จะช้าลงบ้าง พักบ่อยขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยหยุดเดิน
หลายปีผ่านไป ในที่สุด อ้ายจำเรียนก็เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางที่เขาตั้งใจไว้ เขาได้เห็นดินแดนที่เขาฝันถึงมาตลอด และสิ่งที่เขาได้รับไม่ใช่แค่การได้มาถึงปลายทางเท่านั้น แต่เป็นประสบการณ์และความแข็งแกร่งที่เขาได้สร้างขึ้นในระหว่างทาง เขาได้พบกับมิตรภาพ เรียนรู้ที่จะอดทน และเข้าใจถึงคุณค่าของความพยายาม
**คติสอนใจ:** แม้เป้าหมายจะดูไกลและยากลำบากเพียงใด ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ มีความหวัง และมีความตั้งใจที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า เราก็จะไปถึงเป้าหมายได้ในที่สุด บางครั้งชีวิตก็เหมือนการเดินทางที่ต้อง "เดินไปพักไป" และแม้การพักจะทำให้เดินช้าลง แต่ก็ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น พร้อมที่จะก้าวเดินต่อไปในทุกเส้นทางที่เราเลือก
เรื่องที่2=นิทานเรื่อง "อ้ายจำเรียน กับบทเรียนแห่งความสุข"**
กาลครั้งหนึ่งในหมู่บ้านเล็กๆ บนยอดเขา มีชายคนหนึ่งชื่อ "อ้ายจำเรียน" เขาเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานและไม่เคยรู้จักคำว่าพอ อ้ายจำเรียนอยากได้บ้านใหญ่ๆ อยากมีที่ดินกว้างๆ มีข้าวของเครื่องใช้มากมายเหมือนกับคนอื่นๆ เขาเชื่อว่าการมีทุกอย่างจะทำให้เขามีความสุขอย่างแท้จริง
อ้ายจำเรียนเริ่มทำงานหนักขึ้นทุกวัน เขาเก็บเงินซื้อนั่นซื้อนี่จนบ้านของเขาเต็มไปด้วยข้าวของที่สะสมไว้ไม่ขาด เขามีทั้งชุดเสื้อผ้าสวยๆ เครื่องประดับหรูๆ และของใช้ต่างๆ ที่เขาคิดว่าจะทำให้ชีวิตของเขามีความสุขมากขึ้น
แต่แล้ว วันหนึ่ง อ้ายจำเรียนกลับรู้สึกเหนื่อยและไม่มีความสุขอย่างที่เขาคาดหวัง บ้านของเขาอัดแน่นไปด้วยข้าวของมากมายที่ไม่เคยได้ใช้จนรู้สึกอึดอัด เขาแทบไม่มีที่ให้พักผ่อน ไม่มีที่ให้หัวใจได้สงบ เขารู้สึกเหมือนถูกสิ่งของต่างๆ มารุมล้อมและบดบังความสุขที่แท้จริงไปหมด
วันหนึ่ง ขณะที่อ้ายจำเรียนนั่งครุ่นคิดอยู่ใต้ต้นไม้ข้างบ้าน เขาได้พบกับตายายคู่หนึ่งที่กำลังเดินทางผ่านมา ตายายคู่นั้นมีเพียงห่อผ้าเล็กๆ บนบ่าของพวกเขา ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มและดูผ่อนคลาย อ้ายจำเรียนอดสงสัยไม่ได้จึงถามว่า “ทำไมตายายถึงดูมีความสุขมาก ทั้งที่มีของติดตัวน้อยนิด?”
ตายายตอบว่า “เพราะเรามีแค่สิ่งที่จำเป็นต่อชีวิต สิ่งของมากมายไม่ได้นำมาซึ่งความสุข หากแต่การปล่อยสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป ทำให้ชีวิตเบาขึ้น ทำให้ใจเรามีที่ว่างพอที่จะรับความสุขที่แท้จริงเข้ามาได้”
อ้ายจำเรียนได้ฟังแล้วก็เกิดความคิด เขาเริ่มกลับมามองดูข้าวของที่เขาสะสมไว้ ทั้งเสื้อผ้าที่ไม่เคยได้ใส่ ของตกแต่งที่ไม่เคยได้ใช้งาน เขารู้สึกว่าหลายสิ่งที่เขามีอยู่ล้วนไม่จำเป็นต่อชีวิตเลย เขาตัดสินใจที่จะเริ่มปล่อยสิ่งของเหล่านี้ออกไป โดยบริจาคให้คนอื่นที่ต้องการ
เมื่อบ้านของเขาเริ่มโล่งขึ้น เขารู้สึกสบายใจขึ้น ความสุขที่แท้จริงก็เริ่มกลับมา เขามีพื้นที่ให้ตัวเองได้พักผ่อน มีที่ว่างให้จิตใจสงบและได้รับรู้ถึงสิ่งรอบตัวอย่างแท้จริง เขาพบว่าความสุขนั้นไม่ใช่การมีข้าวของมากมาย แต่เป็นการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย มีเพียงสิ่งที่จำเป็น และปล่อยวางสิ่งที่ไม่สำคัญออกไป
**คติสอนใจ:** ความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการมีครบทุกสิ่ง แต่เกิดจากการปล่อยวางสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป ทำให้เรามีที่ว่างในใจพอที่จะรับความสุขและความสงบที่แท้จริงเข้ามา
เรื่องที่3=นิทานเรื่อง "อ้ายจำเรียน ผู้สู้ทนเพราะความจนมันน่ากลัว"**
นานมาแล้วในหมู่บ้านเล็กๆ บนเนินเขา มีชายคนหนึ่งชื่อว่า "อ้ายจำเรียน" เขาเป็นชาวบ้านที่ขยันขันแข็ง แต่ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความยากลำบาก เขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ข้าวปลาอาหารมีกินไม่พอ เงินทองแทบไม่มี อ้ายจำเรียนรู้ว่าถ้าเขาหยุดทำงาน เขาและครอบครัวจะต้องอดอยาก จึงต้องพยายามทำงานทุกวันเพื่อเลี้ยงชีพ
ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนอาทิตย์ตก อ้ายจำเรียนจะออกไปทำงานไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นการทำนา ตัดฟืน หรือรับจ้างทำงานต่างๆ ที่ชาวบ้านจ้างให้ทำ เขาเหนื่อยแทบหมดแรงในแต่ละวัน แต่เขารู้ว่าเขาไม่มีทางเลือก เพราะความจนมันน่ากลัว หากเขาหยุดทำ เขาจะไม่มีเงินซื้อข้าว ไม่มีที่ซุกหัวนอน และเขาจะต้องทนเห็นคนในครอบครัวต้องลำบาก
มีอยู่คืนหนึ่ง อ้ายจำเรียนนั่งพักใต้แสงจันทร์ พลางถอนหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย เขาคิดว่า "ทำไมชีวิตถึงต้องลำบากขนาดนี้ ทำไมต้องทำงานหนักทุกวัน เหนื่อยแทบขาดใจแบบนี้ไปอีกนานเท่าไร" ความคิดที่จะหยุดพักและใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ผุดขึ้นในใจเขา แต่แล้วเขาก็นึกถึงภาพครอบครัวที่รอคอยอยู่ที่บ้าน คิดถึงความลำบากที่ต้องเผชิญหากเขาล้มเลิก
เช้าวันต่อมา อ้ายจำเรียนลุกขึ้นมาพร้อมพลังใจใหม่ เขาตัดสินใจว่าไม่ว่าเหนื่อยแค่ไหนเขาก็ต้องอดทน เขารู้ว่าความเหนื่อยนั้นเป็นเพียงชั่วคราว แต่หากเขาทนสู้ไปเรื่อยๆ ชีวิตของเขาและครอบครัวจะดีขึ้น วันเวลาผ่านไป ความขยันและความอดทนของอ้ายจำเรียนเริ่มส่งผล เขาสามารถเก็บออมเงินได้ ซื้อที่นาเป็นของตัวเองได้ และมีผลผลิตเพียงพอเลี้ยงครอบครัว เขาไม่ต้องทำงานรับจ้างหนักๆ อย่างที่เคยอีกต่อไป
อ้ายจำเรียนได้เรียนรู้ว่าความเหนื่อยนั้นเป็นสิ่งที่เขาอดทนได้ และความจนก็เป็นสิ่งที่เขาสามารถเอาชนะได้ด้วยความพยายามและอดทน แม้จะเหนื่อยและลำบากเพียงใด หากไม่ท้อถอย ชีวิตก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้
**คติสอนใจ:** แม้ว่าเหนื่อยยากเพียงใด หากเรามีความอดทนและไม่ย่อท้อ เราก็จะสามารถก้าวข้ามความลำบากและสร้างชีวิตที่ดีขึ้นได้ ความจนเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่ความพยายามและความอดทนจะทำให้เราไม่ต้องกลัวมันอีกต่อไป
เรื่องที่4=นิทานเรื่อง "อ้ายจำเรียน ชีวิตเริ่มใหม่ได้เสมอ"**
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ "อ้ายจำเรียน" เขาเป็นคนที่ขยันและฝันอยากสร้างชีวิตที่มั่นคง แต่โชคชะตาไม่เคยเข้าข้างเขาเท่าไหร่ เมื่ออ้ายจำเรียนเริ่มทำงานแรกที่เขาหวังว่าจะทำกำไร เขากลับขาดทุนเสียจนหมดเนื้อหมดตัว ทรัพย์สินและความตั้งใจที่เคยมีเริ่มหดหาย แต่เขาก็ยังพยายามต่อไป
ครั้งที่สอง อ้ายจำเรียนได้ลองปลูกพืชผักหวังจะสร้างรายได้จากการขาย แต่ในปีนั้นฝนไม่ตกตามฤดูกาล ทำให้พืชผักของเขาแห้งเหี่ยว เขารู้สึกผิดหวังและท้อใจอยู่ลึกๆ คิดว่าชีวิตเขาคงไม่ประสบความสำเร็จอีกแล้ว
หลายคนรอบข้างพากันบอกให้เขาล้มเลิกเสีย และลองหาทางอื่นที่ไม่ต้องเสี่ยงอีกต่อไป แต่เขามีเพื่อนคนหนึ่งที่ชื่อว่า "อ้ายเพียร" ซึ่งเป็นคนใจเย็นและให้กำลังใจอยู่เสมอ อ้ายเพียรบอกกับอ้ายจำเรียนว่า “ชีวิตเริ่มใหม่ได้เสมอ ถ้าเราไม่คิดจะล้มเลิก” อ้ายจำเรียนฟังคำนี้แล้วก็เริ่มเกิดกำลังใจขึ้นมา
อ้ายจำเรียนตัดสินใจเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้เขาตั้งใจว่าจะทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไปก่อน ไม่รีบร้อนและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดที่ผ่านๆ มา เขาเริ่มเลี้ยงสัตว์เล็กๆ และค่อยๆ ปลูกพืชที่ไม่ต้องการน้ำมาก ทุ่มเทดูแลอย่างเต็มที่ เมื่อเกิดปัญหาเขาก็พยายามแก้ไขโดยไม่ย่อท้อ
ผ่านไปหลายปี ความพยายามและความอดทนของอ้ายจำเรียนเริ่มเห็นผล เขามีรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว พืชผักที่เขาปลูกและสัตว์ที่เขาเลี้ยงเริ่มเจริญเติบโตดี อ้ายจำเรียนกลายเป็นที่ยอมรับของคนในหมู่บ้านและกลายเป็นแบบอย่างให้กับคนอื่นๆ ที่ต้องการลุกขึ้นสู้ใหม่
**คติสอนใจ:** ชีวิตเราเริ่มใหม่ได้เสมอ ถ้าเราไม่คิดจะล้มเลิก ความล้มเหลวเป็นเพียงบทเรียนหนึ่งที่จะพาเราไปสู่ความสำเร็จในวันข้างหน้า ขอเพียงอย่าย่อท้อและลุกขึ้นมาเริ่มต้นใหม่เสมอ
เรื่องที่5=**นิทานเรื่อง "อ้ายจำเรียน ผู้เรียนรู้จากความพ่ายแพ้"**
กาลครั้งหนึ่งในหมู่บ้านเล็กๆ มีชายคนหนึ่งชื่อว่า "อ้ายจำเรียน" เขาเป็นคนมีความฝันและทะเยอทะยานมาก เขาอยากเป็นชาวนาที่ประสบความสำเร็จ มีผลผลิตมากมายเหมือนกับพ่อของเขาในอดีต อ้ายจำเรียนจึงทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจปลูกพืชผลลงในผืนดินที่มีอยู่ เขาเฝ้าดูแลมันอย่างดี ตั้งแต่เช้าจนค่ำ คอยรดน้ำ พรวนดิน และดูแลอย่างเต็มที่
แต่ปีแรกกลับไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ ฤดูกาลฝนแปรปรวนทำให้พืชผลของเขาแห้งเหี่ยว อ้ายจำเรียนรู้สึกท้อใจและคิดว่าตนเองพ่ายแพ้แล้ว คนในหมู่บ้านต่างพูดถึงเขาว่าเป็นคนโชคร้าย บางคนถึงกับแนะนำว่า "ล้มเลิกเถอะ อ้ายจำเรียน การทำนามันไม่ใช่ทางของเจ้า"
แต่แล้ววันหนึ่ง ขณะที่เขานั่งเศร้าอยู่ใต้ต้นไม้ มีชาวนาผู้เฒ่าผ่านมาเห็นเขาแล้วกล่าวว่า "จำเรียนเอ๋ย อย่าเพิ่งท้อใจ ความพ่ายแพ้ไม่เคยสูญเปล่า ถ้าเราเอามันมาเป็นบทเรียน เจ้าจงคิดดูสิว่าครั้งนี้เจ้าพลาดตรงไหน และลองพยายามใหม่ในปีหน้า"
คำพูดของชาวนาผู้เฒ่าทำให้อ้ายจำเรียนฉุกคิด เขาตระหนักว่าเขายังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมากมาย เขาเริ่มศึกษาเรื่องการปลูกพืชให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมดิน การเลือกพืชที่เหมาะกับฤดูกาล และการดูแลรักษาที่ดีขึ้น อ้ายจำเรียนพยายามอย่างหนัก และในปีถัดมา เขาก็กลับมาลงมือปลูกพืชผลใหม่อีกครั้ง
ครั้งนี้ อ้ายจำเรียนระมัดระวังมากขึ้น เขาใช้ความรู้และประสบการณ์จากความล้มเหลวครั้งก่อนมาปรับใช้ และเฝ้าดูแลพืชผลของเขาด้วยความอดทน แม้ว่าปัญหายังมีมาอยู่บ้าง แต่เขาก็หาทางแก้ไขอย่างรอบคอบ
เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว อ้ายจำเรียนพบว่าผลผลิตในปีนี้งอกงามและสมบูรณ์ เขาได้ผลผลิตมากมายเกินความคาดหมาย อ้ายจำเรียนรู้แล้วว่า ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นไม่ใช่ความสูญเปล่า แต่มันเป็นบทเรียนที่สอนเขาให้รู้จักสู้ต่อไปและใช้สติปัญญามากขึ้น เขารู้ว่าทุกครั้งที่ล้มเหลว เขาสามารถเรียนรู้และเติบโตได้จากมันเสมอ
**คติสอนใจ:** ความพ่ายแพ้จะไม่มีวันสูญเปล่า หากเรารู้จักนำมันมาเป็นบทเรียน ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต และเป็นครูที่สอนให้เรามีความแข็งแกร่งและมีสติปัญญาในการก้าวไปสู่ความสำเร็จในวันข้างหน้า
เรื่องที่6=**นิทานเรื่อง "อ้ายจำเรียน ผู้เรียนรู้การพึ่งพาตนเอง"**
ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีชายหนุ่มชื่อ "อ้ายจำเรียน" เขาเป็นคนขยัน แต่ยังอ่อนประสบการณ์ในการทำมาหากิน อ้ายจำเรียนต้องการปลูกพืชผลเพื่อหารายได้เลี้ยงชีพ แต่เขายังไม่ค่อยมีความรู้เท่าไหร่นัก
ในช่วงแรก อ้ายจำเรียนมักไปขอความช่วยเหลือจาก "พ่อจัน" ซึ่งเป็นชาวนาผู้มีประสบการณ์ในหมู่บ้าน พ่อจันคอยช่วยแนะนำการเตรียมดิน การหว่านเมล็ด และการดูแลพืชผล ทำให้ในปีแรก อ้ายจำเรียนสามารถเก็บเกี่ยวได้บ้าง แต่พืชผลยังไม่ดีพอที่จะเลี้ยงชีพได้อย่างยั่งยืน
ปีถัดมา อ้ายจำเรียนก็ยังคงขอความช่วยเหลือจากพ่อจันอยู่ทุกขั้นตอน พ่อจันก็ช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ แต่เขาก็กล่าวเตือนว่า “จำเรียนเอ๋ย เจ้าอย่าลืมว่าการพึ่งคนอื่นนั้นทำได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น หากอยากอยู่ได้อย่างมั่นคง เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตัวเองให้มากขึ้น”
อ้ายจำเรียนได้ฟังแล้วก็ฉุกคิด แต่เขายังไม่เข้าใจถ่องแท้ ยังคงอาศัยความช่วยเหลือจากพ่อจันเรื่อยมา จนมาวันหนึ่ง พ่อจันล้มป่วยหนักและไม่สามารถมาช่วยเขาได้ อ้ายจำเรียนเริ่มตระหนักว่าถ้าเขาไม่สามารถทำด้วยตัวเอง เขาก็อาจจะลำบากในระยะยาว
ด้วยเหตุนี้ อ้ายจำเรียนจึงตัดสินใจที่จะลงมือเรียนรู้และฝึกฝนด้วยตัวเอง เขาใช้เวลาทุกวันศึกษาเรื่องการเกษตร ลองผิดลองถูก คอยสังเกตการเติบโตของพืชผล และปรับปรุงการทำงานของตนเองไปเรื่อยๆ
ปีนั้นเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับอ้ายจำเรียน เพราะเขาต้องเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่เขาก็พบว่าการพึ่งพาตนเองนั้นทำให้เขารู้สึกภูมิใจมากขึ้น เขามีอิสระในการตัดสินใจและสามารถดูแลพืชผลของเขาได้โดยไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากผู้อื่นอีกต่อไป
ในปีถัดมา ผลผลิตของอ้ายจำเรียนงอกงามและมีคุณภาพดี เขาสามารถขายผลผลิตได้มากกว่าที่เคยเป็น เขารู้แล้วว่าแม้การพึ่งพาคนอื่นอาจช่วยได้ในบางครั้ง แต่การพึ่งพาตนเองจะทำให้เขาสามารถยืนหยัดและพัฒนาชีวิตได้ในระยะยาว
**คติสอนใจ:** การพึ่งพาคนอื่นอาจช่วยได้เพียงชั่วคราว แต่ถ้าอยากพึ่งพาได้อย่างยั่งยืน เราต้องเรียนรู้และพึ่งพาตนเอง เพราะความรู้และความสามารถที่เราสร้างขึ้นเองจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต
เรื่องที่7=**นิทานเรื่อง "อ้ายจำเรียน ผู้ไม่เคยล้มเลิก"**
ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีชายหนุ่มชื่อ "อ้ายจำเรียน" ผู้มีความฝันอยากเป็นชาวนาใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ อ้ายจำเรียนเป็นคนขยันและมุ่งมั่น เขาลงมือปลูกพืชผลในที่ดินเล็กๆ ของตนเองด้วยความตั้งใจ ทุกเช้าเขาจะออกไปดูแลพืชผล หว่านเมล็ด รดน้ำ และพรวนดินด้วยความมุ่งมั่น
แต่โชคไม่เข้าข้างอ้ายจำเรียน ฤดูแรกฝนตกหนักจนทำให้พืชที่เขาปลูกเน่าตายหมด อ้ายจำเรียนรู้สึกท้อใจมาก เขาคิดว่าความฝันของเขาอาจจะไกลเกินเอื้อม คนในหมู่บ้านก็มักจะพูดว่า "จำเรียนเอ๋ย เจ้าล้มเหลวแล้ว เสียดายเวลาและแรงที่ทำไปเสียเปล่า" หลายคนแนะนำให้เขาหยุดและไปหางานอื่นที่ง่ายกว่า แต่ในใจลึกๆ อ้ายจำเรียนรู้ว่าเขายังไม่พร้อมจะล้มเลิก เขาตัดสินใจลองใหม่อีกครั้ง
ในฤดูถัดมา อ้ายจำเรียนปลูกพืชอีกครั้ง เขาคอยดูแลและปรับปรุงวิธีการทำงานของตนเอง แต่คราวนี้เกิดศัตรูพืชเข้ามารุมทำลายพืชผลของเขาจนพังเสียหาย เขารู้สึกผิดหวังมาก ทว่าเขาก็ยังเชื่อมั่นว่าความสำเร็จต้องมาจากความพยายามและการไม่ยอมแพ้
เมื่อเวลาผ่านไป อ้ายจำเรียนล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาประสบปัญหานานัปการ ตั้งแต่น้ำแล้ง ฝนไม่ตก ไปจนถึงโรคพืชร้ายแรง แต่แทนที่จะล้มเลิก เขาเริ่มมองหาความรู้เพิ่มเติม เขาศึกษาวิธีการแก้ปัญหา เขาพูดคุยกับชาวนาผู้มีประสบการณ์ และนำสิ่งที่เรียนรู้มาปรับใช้กับการทำงานของตนเอง
หลายปีผ่านไป ความพยายามและความมุ่งมั่นของอ้ายจำเรียนก็เริ่มเห็นผล ในที่สุดเขาก็สามารถปลูกพืชผลให้เจริญงอกงามได้สำเร็จ ผลผลิตในปีนั้นเป็นที่ชื่นชมของคนในหมู่บ้าน อ้ายจำเรียนกลายเป็นชาวนาที่ประสบความสำเร็จ และได้รับการยอมรับว่าเป็นตัวอย่างของคนที่มีความอดทนและมุ่งมั่น
**คติสอนใจ:** ผู้ชนะไม่ใช่คนที่ไม่เคยล้มเหลว แต่เป็นคนที่ไม่เคยล้มเลิกในสิ่งที่ตัวเองทำ ความสำเร็จนั้นไม่ได้มาจากการไม่เคยพลาด แต่มาจากการลุกขึ้นสู้และเรียนรู้จากความล้มเหลวในทุกครั้ง
เรื่องที่8=**นิทานเรื่อง "อ้ายจำเรียน ผู้ไม่ท้อกับชีวิต"**
ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบ มีชายคนหนึ่งชื่อว่า "อ้ายจำเรียน" เขาเป็นคนขยันขันแข็งและมีความฝันอยากสร้างชีวิตที่ดี แต่โชคชะตาไม่ค่อยเข้าข้างเขานัก ทุกครั้งที่เขาลงมือทำสิ่งใด ก็มักจะเจอปัญหาและอุปสรรคเสมอ
ในปีหนึ่ง อ้ายจำเรียนตัดสินใจปลูกข้าวในทุ่งนาเล็กๆ ที่เขามี เขาใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนเฝ้าดูแลข้าวในนาของเขาด้วยความหวังว่าจะได้ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ แต่ทันทีที่ต้นข้าวเริ่มเจริญเติบโต ฝนกลับไม่ตกตามฤดูกาล ทุ่งนาของอ้ายจำเรียนแห้งเหี่ยว ข้าวที่เขาปลูกไว้ตายหมด เขารู้สึกท้อแท้จนเกือบล้มเลิกความฝัน
คนในหมู่บ้านเห็นอ้ายจำเรียนท้อแท้ก็เข้ามาปลอบใจ และกล่าวว่า “จำเรียนเอ๋ย อย่าเพิ่งท้อกับชีวิต แม้วันนี้มันอาจจะไม่ดี แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่ดีเสมอไปหรอกนะ” คำพูดนี้ทำให้อ้ายจำเรียนคิดได้ว่า ชีวิตนั้นเปรียบเหมือนฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงเสมอ แม้ว่าตอนนี้อาจไม่ดี แต่วันหน้าก็อาจจะเปลี่ยนไป
ปีถัดมา อ้ายจำเรียนลองใหม่อีกครั้ง เขาเตรียมดิน ปรับปรุงวิธีการปลูก และหาวิธีรักษาน้ำในนาให้เพียงพอ คราวนี้พืชผลของเขางอกงามดีขึ้นกว่าครั้งก่อน แม้จะไม่สมบูรณ์แบบอย่างที่หวัง แต่เขาเริ่มเห็นความสำเร็จเล็กๆ ที่ช่วยให้มีกำลังใจ
อ้ายจำเรียนไม่ยอมท้อถอย เขาเฝ้าฝึกฝนและพัฒนาตนเอง ปีแล้วปีเล่า ผลผลิตของเขาก็ค่อยๆ ดีขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็กลายเป็นชาวนาที่มีผลผลิตสมบูรณ์ อ้ายจำเรียนได้เรียนรู้ว่า แม้วันหนึ่งชีวิตจะไม่เป็นไปตามที่หวัง แต่หากไม่ท้อถอย วันข้างหน้าก็อาจนำมาซึ่งความสำเร็จที่รอคอย
**คติสอนใจ:** อย่าท้อกับชีวิต แม้วันนี้มันจะไม่ดี ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่ดีเสมอไป ทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลง หากเรามีความอดทนและไม่ย่อท้อ ความสำเร็จจะมาถึงในวันหนึ่ง
เรื่องที่9=**นิทานเรื่อง "อ้ายจำเรียน ผู้ยืนให้เป็น"**
กาลครั้งหนึ่ง มีชายหนุ่มชื่อ "อ้ายจำเรียน" ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ เขาเป็นคนที่มีความฝันอยากเป็นที่ยอมรับของคนในหมู่บ้าน เขาอยากเป็นคนที่ทุกคนมองว่าเก่งและยิ่งใหญ่ เขาจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้โดดเด่นในสายตาของคนอื่น
อ้ายจำเรียนทำงานอย่างหนักและพยายามทุกทางเพื่อให้ดูดีในสายตาของคนรอบข้าง เขาใช้เงินไปกับการแต่งตัวหรูหรา สร้างบ้านหลังใหญ่ หวังให้คนอื่นชื่นชม แต่มันกลับทำให้เขามีหนี้สินมากมาย และไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ เขารู้สึกกดดันและเหน็ดเหนื่อยกับการพยายามเป็นคนที่โดดเด่นอยู่ตลอดเวลา
วันหนึ่ง เขาได้พบกับชายชราในหมู่บ้านชื่อ "พ่อเอิบ" ผู้เป็นคนธรรมดา ใช้ชีวิตเรียบง่ายและไม่เคยโดดเด่นในสายตาของใคร พ่อเอิบพูดกับอ้ายจำเรียนว่า “จำเรียนเอ๋ย เจ้าไม่จำเป็นต้องยืนให้สูงส่งหรือโดดเด่นจนทุกคนมองเห็น ขอเพียงเจ้ายืนให้มั่นคง ไม่ล้มและไม่เดือดร้อนก็เพียงพอแล้ว ชีวิตที่ยืนได้มั่นคง จะทำให้เจ้าได้พบกับความสงบอย่างแท้จริง”
คำพูดของพ่อเอิบทำให้อ้ายจำเรียนได้คิด เขาตระหนักว่าเขาเหนื่อยกับการพยายามยืนให้สูงและโดดเด่น จนลืมว่าความสุขที่แท้จริงอาจไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้นเลย
อ้ายจำเรียนจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง เขาหยุดใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หันมาทำงานที่พอเหมาะพอดีกับกำลังของตนเอง และค่อยๆ ปลดหนี้สินทีละเล็กทีละน้อย เขาใช้ชีวิตเรียบง่ายขึ้น แต่กลับรู้สึกว่าชีวิตของเขามีความสุขและมั่นคงกว่าเดิม
เวลาผ่านไป อ้ายจำเรียนกลายเป็นคนที่ยืนได้มั่นคง แม้ไม่โดดเด่นแต่ก็ไม่เดือดร้อน ชาวบ้านต่างมองเห็นความสุขที่เขามี และหลายคนเริ่มหันมาปรึกษาเขาเรื่องการใช้ชีวิตอย่างพอดีและมั่นคง อ้ายจำเรียนกลายเป็นคนที่ชาวบ้านเคารพและนับถือ ไม่ใช่เพราะความสูงส่งหรือความเด่นดัง แต่เพราะเขาเรียนรู้ที่จะยืนให้เป็นและมั่นคงในแบบของเขาเอง
**คติสอนใจ:** ไม่ต้องยืนให้สูง ไม่ต้องยืนให้เด่น ขอแค่ยืนให้เป็น แล้วไม่ล้มก็พอ ความมั่นคงและการใช้ชีวิตอย่างพอดี จะนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริง
เรื่องที่10=**นิทานเรื่อง "อ้ายจำเรียน ผู้เรียนรู้ความไม่เที่ยงของชีวิต"**
ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีชายหนุ่มชื่อ "อ้ายจำเรียน" ผู้ซึ่งชีวิตเต็มไปด้วยอุปสรรค เขาเป็นคนขยันทำงาน แต่กลับพบเจอปัญหานานัปการที่ทำให้ท้อใจเสมอ ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติที่ทำให้ผลผลิตเสียหาย โรคภัยไข้เจ็บที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอ หรือแม้แต่ปัญหาทางการเงินที่ทำให้ชีวิตลำบาก
วันหนึ่ง ขณะที่อ้ายจำเรียนนั่งเศร้าใจอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ชายชราคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นเข้าก็เอ่ยถามว่า "เจ้าจำเรียน เหตุใดเจ้าจึงดูทุกข์ใจนักล่ะ?"
อ้ายจำเรียนถอนหายใจแล้วตอบว่า "ข้ามีแต่ความทุกข์เข้ามาไม่ขาดสาย ข้ารู้สึกเหมือนว่าชีวิตข้าไม่มีวันมีความสุขอีกแล้ว ทุกครั้งที่ข้าพยายาม ก็มีแต่ปัญหาตามมาไม่หยุด"
ชายชราฟังแล้วก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน "เจ้าจำเรียนเอ๋ย ความทุกข์นั้นเปรียบเหมือนลมฟ้าอากาศ มันมาถึงแล้วก็จากไป ไม่มีอะไรอยู่กับเราได้ตลอดไป แม้แต่ความทุกข์ที่เจ้าเผชิญอยู่ในตอนนี้ก็เช่นกัน"
อ้ายจำเรียนยังคงฟังด้วยความสงสัย ชายชราจึงชี้ไปที่ท้องฟ้า "เจ้าลองดูเมฆบนท้องฟ้าสิ เจ้าจะเห็นว่าเมฆที่ลอยผ่านไปนั้น ไม่มีใครสามารถยึดเหนี่ยวมันไว้ได้ เมฆเข้ามาแล้วก็จากไป เช่นเดียวกับความทุกข์ของเจ้า มันอาจจะทำให้เจ้ารู้สึกหนักใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความทุกข์เหล่านี้ก็จะจากไปเอง"
อ้ายจำเรียนครุ่นคิดกับคำพูดของชายชรา เขาเริ่มเข้าใจว่าชีวิตนั้นไม่ใช่สิ่งที่ยึดติดได้ ทั้งความสุขและความทุกข์ต่างก็เป็นสิ่งชั่วคราวที่เกิดขึ้นแล้วก็จากไป วันเวลาผ่านไป เขาพบว่าความทุกข์บางอย่างได้เบาบางลง และเขาสามารถรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้น เพราะเข้าใจว่าความทุกข์ไม่ได้คงอยู่ตลอดไป
เมื่อถึงวันที่ท้องนาเขาให้ผลผลิตอย่างอุดมสมบูรณ์ และชีวิตมีความสุขมากขึ้น อ้ายจำเรียนก็หวนคิดถึงคำสอนของชายชรา เขาตระหนักได้ว่าทุกสิ่งในชีวิตล้วนเป็นของชั่วคราว แม้ความสุขในวันนี้ก็ต้องรู้จักวางใจ ไม่ยึดติด และไม่กลัววันข้างหน้าที่จะเปลี่ยนแปลง
**คติสอนใจ:** ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไป แม้กระทั่งความทุกข์ที่เข้ามาในชีวิต ขอเพียงเรารู้จักปล่อยวางและรอเวลา สุดท้ายแล้วความทุกข์ก็จะจางหายไป เหลือไว้เพียงความเข้าใจในธรรมชาติของชีวิต
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น