บทความ/นิทานเรื่องโทษการคบคนชั่วเป็นมิตร

อย่าคบคนชั่วเป็นมิตร และมีความสนิทสนมกับคนชั่ว จนพาตัวให้เสียไปด้วย คำว่าคนชั่วมีหลายประเภทนับคนชั่ว ๓ จำพวกที่กล่าวแล้วข้างต้นเข้าด้วย พูดฟังง่ายๆ ก็คือคนในลักษณะ ๓ จำพวก จัดเป็น ปาปมิตร คือเป็นบุคคลไม่ควรคบทั้งนั้น เพราะเป็นคนประเภทอันใครๆ ไม่พึงปรารถนาอยากคบค้าสมาคมไปหามาสู่ นอกจากพวกของเขาเองเท่านั้น เป็นคนชอบเอาเปรียบเอารัดเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เช่น ชอบลักขโมย ตีชิงวิ่งราว ปล้นจี้ ตัดช่องย่องเบา แสวงหาอาชีพด้วยวิธีเอาหนามยอกหัวใจคนอื่น เพื่อเอาเลือดหัวอกเขามาบำรุงชีวิตหรือครอบครัวของตน เป็นต้น เรียกว่าคนโฉดเขลาปัญญา เพราะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการงานที่ชอบธรรม อันเกิดจากกำลังปลีแข้งของตนเหมือนอย่างพลเมืองดีทั่วๆ ไป ความเคลื่อนไหวของเขาทุกๆ อาการจะส่อให้เห็นว่า เป็นเสือร้ายอยู่ในตัวซึ่งใครๆ จะพึงระวังเสมอ

         โทษแห่งความเป็นพาลหรือพวก ปาปมิตร การกินอยู่หลับนอนไม่ค่อยเปิดเผยเหมือนคนธรรมดา มีการหลบหลีกซ่อนตัวอยู่เสมอ และชอบเที่ยวหากินหรือแสวงหารายได้ในเวลากลางคืนยามดึกสงัด ซึ่งเป็นเวลาพลเมืองดีหลับนอน สิ่งของที่ได้มาในทางผิดกฎหมายต้องเก็บซุ่มซ่อนไว้ในที่ลี้ลับเสมอ ของบางอย่างต้องเก็บซ่อนไว้นอกบ้าน ไม่ยอมเก็บไว้ในบริเวณบ้านเรือน เพราะกลัวจะเป็นภัยต่อตนเองหรือครอบครัว การกินอยู่หลับนอนของคนพวกนี้ไม่มีความสบาย เพราะต้องระวังภัยจากเจ้าของทรัพย์บ้าง จากเจ้าหน้าที่บ้างซึ่งไม่ทราบว่าเขาจะมาทางไหนและเวลาใด ปากและท้องมีความอิ่มหนำสำราญด้วยอาหารปัจจัยที่ได้มาด้วยการยื้อแย่งจากคนอื่น แต่ใจกลายเป็นไฟเผาลนตนเองอยู่ตลอดเวลา หาความสบายเปิดเผยและอิสรเสรีอย่างคนธรรมดาไม่ได้

         ชีวิตของคนชั่วเป็นการเสี่ยงภัยอยู่ทุกขณะ และไม่ทราบว่าคอกับศีรษะจะขาดจากกันตกไปเสียบอยู่บนหัวตอ หรือถูกแขวนอยู่บนกิ่งไม้ต้นไหนเวลาใด จึงจัดว่าเป็นภาระหนักสำหรับความเป็นอยู่ของคนพาล เพราะฉะนั้นคนผู้มุ่งความเป็นพลเมืองดี มีอิสระในความเป็นอยู่หลับนอนของตน และต้องการชีวิตให้มีขื่อมีแป จึงไม่ควรคบ ปาปมิตร คือคนพาล อย่างน้อยต้องหวังเอาเปรียบเอารัดจากเราจนได้ ไม่ยอมขาดทุนเพราะการคบกับใครๆ ท่านจึงเรียกว่าเป็นทางเสื่อมเสียนิสัยและโภคทรัพย์ได้อีกทางหนึ่ง เมื่อเราเว้นจากความหายนะคือความฉิบหาย ๔ อย่างนี้แล้ว เราควรตั้งตนอยู่ในธรรมของผู้เจริญด้วยทรัพย์คือทางเดินของเศรษฐี จะเป็นผู้เจริญด้วยทรัพย์มีเงินมาก ซึ่งเกิดจากกำลังปลีแข้งของตน ตามภาษิตที่ได้ยกขึ้นไว้ ณ เบื้องต้นนั้น


นิทานเรื่องอ้ายจำเรียนคบคนชั่วเป็นมิตร

อ้ายจำเรียนเป็นเด็กหนุ่มผู้มีจิตใจดี แต่ขาดวิจารณญาณ เขาเชื่อคนง่ายและมักตกเป็นเหยื่อของเพื่อนฝูงที่ไม่ดี อ้ายจำเรียนมีเพื่อนสนิทชื่อ ดำ และ แดง ทั้งสองคนเป็นเด็กที่ชอบก่อเรื่อง ชอบแกล้งคนอื่น และไม่เคยคิดถึงผลที่ตามมา

วันหนึ่ง ดำและแดงชวนอ้ายจำเรียนไปขโมยผลไม้จากสวนของลุงทอง อ้ายจำเรียนลังเลใจ แต่เพราะความอยากได้ผลไม้และกลัวเพื่อนล้อเลียน เขาจึงยอมไปด้วย พวกเขาปีนรั้วเข้าไปในสวน ขโมยผลไม้ได้หลายตะกร้า และรีบหนีออกมาอย่างลับๆ

ระหว่างทางกลับ พวกเขาเจอลุงทอง ลุงทองจับได้ว่าพวกเขาขโมยผลไม้ ลุงทองโกรธมาก แต่แทนที่จะแจ้งความ ลุงทองกลับสอนพวกเขาถึงความสำคัญของการกระทำที่ถูกต้อง ลุงทองบอกว่าการขโมยเป็นสิ่งที่ผิด และการกระทำของพวกเขาอาจทำให้คนอื่นเดือดร้อนได้ ลุงทองยังให้โอกาสพวกเขาได้แก้ไขความผิดพลาดด้วยการช่วยงานในสวนจนกว่าจะชดใช้ค่าเสียหายได้

อ้ายจำเรียนรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป เขาสำนึกผิดและขอโทษลุงทอง ดำและแดงก็เช่นกัน พวกเขาช่วยลุงทองทำงานในสวนอย่างขยันขันแข็ง และได้เรียนรู้บทเรียนราคาแพงเกี่ยวกับความสำคัญของมิตรภาพที่ดี และการเลือกคบเพื่อนที่ดี

หลังจากนั้น อ้ายจำเรียนเปลี่ยนแปลงตัวเอง เขาเลิกคบกับดำและแดง และหันไปคบกับเพื่อนที่มีความประพฤติดี เขาเรียนรู้ที่จะเลือกคบเพื่อน และพิจารณาถึงผลที่ตามมาของการกระทำของตนเอง อ้ายจำเรียนเติบโตขึ้นเป็นคนดี มีคุณธรรม และเป็นที่รักของคนรอบข้าง

คติสอนใจ:

เรื่องราวของอ้ายจำเรียนสอนให้เรารู้ว่า การเลือกคบเพื่อนเป็นสิ่งสำคัญ เราควรเลือกคบกับคนที่ประพฤติดี มีคุณธรรม และสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเราได้ การคบเพื่อนชั่วอาจนำพาเราไปสู่ทางที่ผิด และทำให้เราต้องเสียใจในภายหลัง ดังนั้น เราควรเลือกคบเพื่อนอย่างรอบคอบ และพิจารณาถึงผลที่ตามมาของการกระทำของตนเองเสมอ

-----
Q16

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม