รวมนิทานตลกขำๆ

นิทานเรื่อง: อ้ายจำเรียนกับโลกที่ไม่สวยงามอย่างที่คิด**

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีเด็กชายชื่อ "อ้ายจำเรียน" ที่เชื่อมาโดยตลอดว่าโลกนี้ช่างสวยงามและเต็มไปด้วยความสุขสบาย อ้ายจำเรียนเติบโตมาพร้อมความฝันว่าชีวิตนี้จะมีแต่เรื่องดีๆ เหมือนในนิทานที่เขาเคยได้ยิน คุณพ่อคุณแม่มักจะบอกว่า "โตขึ้นเจ้าจะได้มีชีวิตดีๆ มีบ้านสวยๆ มีรถหรูๆ ชีวิตจะสนุกมาก!"

วันหนึ่งเมื่ออ้ายจำเรียนโตพอที่จะออกไปทำงานและใช้ชีวิตเอง เขาตื่นเต้นมาก! "โลกสวยงามอย่างแน่นอน!" เขาคิดพร้อมเสียงหัวเราะ แต่พอเขาก้าวเข้าสู่ชีวิตจริงวันแรก เขาต้องตื่นแต่เช้ามากๆ ไปรอรถเมล์ที่คนแน่นแย่งกันขึ้นจนเกือบโดนเบียดหลุดจากรถ ขณะที่เขาคิดว่า "แค่นี้ยังไหว" ฝนก็ตกลงมาหนักแบบไม่มีพัก ตัวเปียกโชกทั้งวัน เสื้อผ้าเปียกทำให้เขาเหม็นเปรี้ยวเหมือนน้ำปลาหมัก

วันต่อมา เมื่ออ้ายจำเรียนไปทำงาน เขาก็พบเจ้านายที่ขี้บ่นและเพื่อนร่วมงานที่พูดจาไม่ค่อยเป็นมิตร ทั้งงานก็เยอะจนท่วมหัว เขานึกในใจว่า “โลกนี้มันไม่ใช่แค่นิทานหรือ?” จนเขาหัวเราะขำตัวเองที่คิดว่าโลกนี้สวยงามเหมือนในหนัง!

วันหนึ่งหลังจากที่งานหนักและความจริงของชีวิตได้สอนอะไรเขาหลายอย่าง อ้ายจำเรียนก็นั่งคิดแล้วหัวเราะออกมาดังๆ ว่า “ฮ่าๆๆ ทำไมถึงไม่บอกกันบ้างนะว่าโลกมันไม่ได้สวยงามขนาดนั้น! ทำไมไม่บอกว่าต้องเจอเจ้านายขี้บ่น เพื่อนร่วมงานขี้โม้ และที่สำคัญคือต้องรอรถเมล์จนขาจะยาว!”

แต่ในที่สุด อ้ายจำเรียนก็รู้ว่า ถึงโลกจะไม่สวยงามตามฝัน แต่ทุกๆ อย่างก็คือประสบการณ์ที่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น และเขาก็สามารถหัวเราะได้กับเรื่องราวที่เขาเจอ เขาคิดว่า "แม้โลกจะไม่สวยงามเหมือนที่คิด แต่เราก็ยังสามารถหาเรื่องขำฮาๆ ได้ทุกวัน"

คติสอนใจ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า โลกแห่งความจริงอาจไม่ได้สวยงามเหมือนในความฝัน แต่การเรียนรู้ที่จะปรับตัวและหัวเราะกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น จะทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยสีสันและความสนุกสนานแม้ในวันที่ไม่เป็นอย่างที่หวัง
นิทานเรื่อง: อ้ายจำเรียนตดปูดป๊าดๆๆ

กาลครั้งหนึ่งในหมู่บ้านเล็กๆ มีเด็กชายชื่อว่า "อ้ายจำเรียน" ซึ่งเป็นคนสนุกสนาน ชอบทำให้เพื่อนๆ หัวเราะ ทุกคนในหมู่บ้านรักเขาเพราะเขามักจะสร้างเรื่องขำขันเสมอ วันหนึ่งอ้ายจำเรียนและกลุ่มเพื่อนๆ ตัดสินใจจะไปเที่ยวเล่นที่ทุ่งนาหลังหมู่บ้าน พวกเขาวิ่งเล่น วิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน 

ในขณะที่ทุกคนกำลังเล่นซ่อนหากันอยู่ อ้ายจำเรียนรู้สึกได้ว่าท้องไส้ของเขาเริ่มปั่นป่วนแบบแปลกๆ เขาพยายามกลั้นเอาไว้เพราะไม่อยากให้เกิดอะไรที่ไม่ควรเกิดกลางวงเพื่อนๆ แต่สุดท้ายเมื่อวิ่งมาเหนื่อยจนหยุดหายใจ หายใจแรงๆ อยู่กลางทุ่งนา พลัน! “ปู๊ดดด!!”

เสียงตดดังลั่นขึ้นทันที เพื่อนๆ ที่กำลังวิ่งตามมาก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ แต่แล้วพวกเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น อ้ายจำเรียนทำหน้าอาย แต่ก็อดหัวเราะตามไม่ได้ “ฮ่าๆๆ ตดปูดแบบนี้ ใครจะกลั้นไหวกันล่ะ!”

พอเพื่อนๆ หัวเราะกันจนท้องแข็ง เสียงหัวเราะนั้นดังจนฝูงนกบินหนีจากต้นไม้ ทุกคนเริ่มตั้งชื่อให้เหตุการณ์นี้ว่า "วันตดปูดป๊าดแห่งทุ่งนา" เพราะมันเป็นวันที่เสียงหัวเราะดังกว่าทุกๆ วัน พวกเขาเดินกลับบ้านด้วยความสุข มีแต่เสียงขำขันตลอดทาง 

ตั้งแต่นั้นมา อ้ายจำเรียนกลายเป็นตำนานในหมู่เพื่อนๆ ไม่ใช่แค่เพราะเขาเป็นคนตลก แต่เพราะเขาทำให้ทุกคนได้รู้ว่า ไม่ว่าจะเกิดเรื่องน่าอายแค่ไหน ถ้าเราเลือกจะหัวเราะกับมัน ทุกคนก็จะสนุกและจดจำมันในแง่ดี

คติสอนใจ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บางครั้งเรื่องน่าอายก็อาจกลายเป็นเรื่องตลกได้ หากเราเรียนรู้ที่จะหัวเราะและยอมรับมันด้วยใจเบิกบาน**

 นิทานเรื่อง: **อ้ายจำเรียนตื่นตูมฮาๆ**

กาลครั้งหนึ่งที่หมู่บ้านเล็กๆ อ้ายจำเรียนเป็นคนขี้ตื่น ตกใจง่ายอยู่เสมอ ไม่ว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เขาก็มักจะทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่เสมอ วันหนึ่ง อ้ายจำเรียนเดินเล่นอยู่ในป่าข้างหมู่บ้าน เพื่อหาเห็ดกลับมาทำอาหารกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน ขณะที่เดินหามองไปมา จู่ๆ ก็มีเสียง "กรอบแกรบ" ดังมาจากหลังพุ่มไม้

อ้ายจำเรียนสะดุ้งโหยง หัวใจเต้นแรง เขารีบคิดขึ้นมาว่า “ต้องเป็นเสือแน่ๆ!” ในใจเขาคิดว่าเสือตัวใหญ่กำลังจ้องมองเขาอยู่ เขาไม่รอช้า วิ่งหนีสุดชีวิตโดยไม่หันกลับไปมอง เสียงตะโกนดังลั่นป่า “ช่วยด้วย เสือ เสือมาแล้ว!!”

อ้ายจำเรียนวิ่งฝุ่นตลบจนถึงหมู่บ้าน เพื่อนๆ ที่ได้ยินเสียงเขาก็วิ่งมาหาด้วยความงง “เฮ้ จำเรียน เกิดอะไรขึ้น!” ทุกคนถามพร้อมกัน

"เสือ! เสือมันอยู่ในป่า!" อ้ายจำเรียนยังหอบหายใจ หน้าตื่น แต่พอเพื่อนๆ เดินไปดูที่ป่ากลับพบว่า...ที่เสียง "กรอบแกรบ" นั้นเป็นเพียงกระรอกตัวเล็กๆ ที่กำลังกระโดดเก็บลูกไม้เท่านั้น!

ทุกคนหัวเราะกันดังลั่น “เฮ้ย! จำเรียน ขี้ตื่นไปแล้ว!” เพื่อนๆ หัวเราะกันจนท้องแข็ง ขณะที่อ้ายจำเรียนยืนเขินๆ แต่สุดท้ายเขาก็หัวเราะไปด้วย เพราะรู้สึกตลกกับความกลัวเกินเหตุของตัวเอง

ตั้งแต่นั้นมา ทุกครั้งที่มีอะไรดังผิดปกติ เพื่อนๆ มักจะพูดว่า “สงสัยเสือของอ้ายจำเรียนมาอีกแล้วล่ะ!” ซึ่งก็ทำให้ทุกคนหัวเราะไม่หยุดทุกครั้ง

คติสอนใจ

**นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บางครั้งความกลัวเกินเหตุ อาจทำให้เราหลงเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นจริง ถ้าเรามองสถานการณ์ให้ดีและไม่ตื่นตูม เราอาจจะเห็นว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด**

นิทานเรื่อง: **อ้ายจำเรียนเด็กเลี้ยงควายฮาๆ (ตอนแรก)**

กาลครั้งหนึ่งในหมู่บ้านชนบทเล็กๆ มีเด็กชายชื่อว่า "อ้ายจำเรียน" ซึ่งมีหน้าที่ประจำวันคือการเลี้ยงควาย เขามักจะพาควายของเขาไปเลี้ยงหญ้าที่ทุ่งนาหลังหมู่บ้านเสมอ อ้ายจำเรียนเป็นเด็กที่รักความสนุกสนานและมักหาเรื่องขำขันมาทำให้คนในหมู่บ้านหัวเราะอยู่เสมอ

วันหนึ่ง อ้ายจำเรียนเบื่อหน่ายกับการนั่งเฝ้าควายเฉยๆ เขาจึงคิดแผนสนุกๆ ขึ้นมา “เอาล่ะ! วันนี้ข้าจะลองทำให้พวกผู้ใหญ่ตื่นตูมบ้างดีกว่า!” เขาคิดด้วยความซน

อ้ายจำเรียนวิ่งกลับเข้าหมู่บ้านแล้วตะโกนสุดเสียง “ช่วยด้วย! ควายของข้าหายไปแล้ว! ควายถูกเสือจับไป!” คนในหมู่บ้านได้ยินเสียงตะโกนก็ตกใจ รีบหยิบไม้ไล่เสือและวิ่งไปทางทุ่งนา บางคนแบกปืนออกมาเพื่อช่วยหาควายของอ้ายจำเรียน

แต่เมื่อทุกคนไปถึง พวกเขาก็พบว่า...ควายของอ้ายจำเรียนยังคงนอนเคี้ยวเอื้องอย่างสงบเรียบร้อย ไม่มีเสือหรือสิ่งใดเลย

พอชาวบ้านรู้ว่าถูกแกล้ง ทุกคนหันมามองหน้าอ้ายจำเรียน เขาหัวเราะจนท้องแข็ง “ฮ่าๆๆ ข้าล้อเล่นน่ะ! ควายของข้าอยู่ดี! ดูสิพวกเจ้าทำหน้าตื่นกันไปหมด!”

แม้จะโมโหนิดหน่อย แต่ชาวบ้านก็อดหัวเราะไม่ได้เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องขำขัน ทุกคนกลับบ้านไปพร้อมเสียงหัวเราะ

แต่แล้ว...จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เมื่ออ้ายจำเรียนแกล้งแบบนี้ซ้ำๆ ชาวบ้านจะยังเชื่อเขาอยู่ไหม?

คติสอนใจ (ตอนแรก)

**นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การล้อเล่นบ่อยเกินไปอาจทำให้คนอื่นไม่เชื่อถือ หากเราแกล้งบ่อยๆ เมื่อเกิดเหตุการณ์จริงๆ อาจไม่มีใครเชื่อเรา** (รอตอนต่อไป!)

นิทานเรื่อง: **อ้ายจำเรียนเด็กเลี้ยงควาย (ตอนที่ 2

หลังจากที่อ้ายจำเรียนแกล้งคนในหมู่บ้านจนทุกคนหัวเราะกันในตอนแรก เขารู้สึกสนุกกับการเล่นตลกจนยากจะหยุด วันต่อมาเขาจึงคิดแผนใหม่ขึ้นอีก “เอาล่ะ คราวนี้ต้องสนุกกว่าเดิมแน่นอน!” เขาคิดและหัวเราะในใจ

อ้ายจำเรียนวิ่งกลับเข้าหมู่บ้านอีกครั้งพร้อมกับตะโกนว่า “ช่วยด้วย! ควายของข้าหายไปจริงๆ คราวนี้ควายตกลงไปในบ่อน้ำแล้ว!” ชาวบ้านที่ได้ยินก็พากันหัวเราะกันเบาๆ และบอกว่า “อ้ายจำเรียนเล่นตลกอีกแล้วสิ” แต่คราวนี้มีคนไม่มากนักที่ออกมาช่วยเขา

ถึงกระนั้น ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งก็ยังตัดสินใจไปดู เพราะคิดว่าเผื่อครั้งนี้อาจเป็นเรื่องจริง เมื่อไปถึงก็พบว่าควายของอ้ายจำเรียนยังคงนอนสบายๆ อยู่ริมทุ่งนาไม่มีทีท่าจะเดือดร้อนแม้แต่น้อย

อ้ายจำเรียนหัวเราะลั่นเสียงดัง “ฮ่าๆๆ พวกเจ้ายังเชื่อข้าอีกเหรอ คราวนี้ข้าล้อเล่นอีกแล้ว!”

แต่ครั้งนี้ชาวบ้านไม่ขำอีกต่อไป พวกเขาส่ายหัวและบอกว่า “อ้ายจำเรียน ถ้าเจ้าทำแบบนี้อีก คราวหน้าคงไม่มีใครออกมาช่วยเจ้าจริงๆ แล้วล่ะ” จากนั้นทุกคนก็เดินกลับไปทำงานของตัวเอง

อ้ายจำเรียนยังคงยิ้มขำๆ กับความสนุกของเขา แต่ไม่รู้เลยว่าการเล่นตลกบ่อยๆ จะทำให้เขาเสียความเชื่อถือไปเรื่อยๆ

คติสอนใจ (ตอนที่ 2)

**นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความน่าเชื่อถือคือสิ่งที่สร้างขึ้นยากแต่ทำลายได้ง่าย หากเราเล่นตลกเกินเหตุ ต่อไปเมื่อเกิดปัญหาจริงๆ คนอาจไม่เชื่อถือและไม่ช่วยเหลือเราอีกเลย

 นิทานเรื่อง: อ้ายจำเรียนเด็กเลี้ยงควาย (ตอนที่ 3

หลายวันหลังจากที่อ้ายจำเรียนแกล้งชาวบ้านมาแล้วสองครั้ง ในหมู่บ้านก็เริ่มไม่มีใครสนใจเสียงตะโกนของเขาอีก แต่ในวันหนึ่ง อ้ายจำเรียนรู้สึกเบื่อสุดๆ จึงคิดหาวิธีสร้างความสนุกสนานขึ้นอีกครั้ง “ครั้งนี้ต้องเล่นใหญ่กว่าครั้งไหนๆ ไปเลย!”

เขาไปหาควายของเขาที่ทุ่งนา แล้วทาสีควายให้เป็นลายจุดสีชมพู แถมยังเอาผ้าคลุมหัวควายไว้ให้ดูเหมือน "สัตว์ประหลาดควายยักษ์" เสร็จแล้วอ้ายจำเรียนก็วิ่งกลับเข้าหมู่บ้านพร้อมตะโกนเสียงดังลั่น “ช่วยด้วย! ควายยักษ์จู่โจมหมู่บ้าน! รีบมาดูกันเร็วๆ มันตลกสุดๆ!”

ชาวบ้านที่เคยตกเป็นเหยื่อการแกล้งของอ้ายจำเรียนในสองครั้งก่อนหน้านี้ ไม่มีใครอยากเชื่ออีกต่อไป ทุกคนยังคงทำงานของตัวเอง บางคนหันไปมองแค่แวบหนึ่งแล้วหัวเราะเบาๆ “เอาล่ะสิ คราวนี้เขาคิดจะเล่นอะไรอีกล่ะ?” 

แต่แล้ว…เด็กๆ ในหมู่บ้านที่ยังไม่เคยถูกหลอกมาก่อน พอได้ยินว่า "ควายยักษ์" ก็ตกใจรีบวิ่งออกไปดู พอพวกเขาเห็นควายของอ้ายจำเรียนที่ถูกแต่งตัวแปลกๆ เด็กๆ ก็หัวเราะกันเสียงดัง “ฮ่าๆๆๆ ควายอะไรลายจุดสีชมพู ฮา ฮา ฮา!”

อ้ายจำเรียนยืนยิ้มกว้างอย่างภูมิใจในผลงานการแกล้งครั้งใหม่ของเขา แต่ครั้งนี้แม้แต่ชาวบ้านที่ไม่สนใจตั้งแต่แรกยังทนไม่ได้ ต้องเดินออกมาดู และเมื่อเห็นควายลายจุดที่ถูกอ้ายจำเรียนแต่งขึ้นมา ก็มีคนอดหัวเราะไม่ได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่เพียงแค่ส่ายหัวเบาๆ “เจ้านี่มันเล่นตลกไม่หยุดจริงๆ”

แต่จู่ๆ ก็มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น** ควายของอ้ายจำเรียนที่โดนแต่งตัวแปลกๆ ดันรู้สึกไม่สบายใจ มันจึงเริ่มวิ่งเตลิดไปรอบๆ ทุ่ง เด็กๆ วิ่งหนีไปคนละทิศละทาง อ้ายจำเรียนต้องวิ่งไล่ตามควายของตัวเองไปทั่วหมู่บ้านในสภาพควายลายจุดสีชมพู จนทั้งหมู่บ้านหัวเราะเสียงดังไปทั่ว "ฮ่าๆๆๆ คราวนี้อ้ายจำเรียนได้วิ่งเองบ้างล่ะ!"

คติสอนใจ (ตอนที่ 3)

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การเล่นสนุกบางครั้งอาจหันกลับมาทำให้เราเองต้องเหนื่อยหรือเจอปัญหา อย่าล้อเล่นจนเกินเหตุ เพราะวันหนึ่งอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่เราควบคุมไม่ได้

นิทานเรื่อง:อ้ายจำเรียนเด็กเลี้ยงควาย ตอนที่4

หลังจากที่อ้ายจำเรียนได้แกล้งชาวบ้านด้วยการทาสีควายเป็นลายจุดสีชมพูและสร้างความวุ่นวายไปทั่วหมู่บ้านในตอนที่แล้ว เขาก็ถูกชาวบ้านตำหนิและเตือนให้หยุดการกระทำดังกล่าว แต่ด้วยความที่อ้ายจำเรียนเป็นเด็กซนและชอบความสนุกสนาน เขาจึงไม่ฟังคำเตือนและคิดแผนการแกล้งครั้งใหม่ขึ้นมาอีก

วันหนึ่ง อ้ายจำเรียนพาควายของเขาไปเลี้ยงที่ทุ่งนาเหมือนเช่นเคย แต่คราวนี้เขาได้เตรียมการแกล้งครั้งใหม่ด้วยการนำผ้าสีแดงมาผูกที่เขาของควาย แล้วจึงวิ่งกลับเข้าหมู่บ้านพร้อมกับตะโกนว่า “ช่วยด้วย! ควายของข้าโดนเสือกัด!”

ชาวบ้านที่ได้ยินเสียงตะโกนของอ้ายจำเรียนก็พากันวิ่งมาดูด้วยความตกใจ แต่เมื่อมาถึงที่ทุ่งนา ก็พบว่าควายของอ้ายจำเรียนยังคงนอนเคี้ยวเอื้องอย่างสบายใจ โดยมีผ้าสีแดงผูกที่เขาอยู่

ชาวบ้านรู้ทันทีว่าถูกอ้ายจำเรียนแกล้งอีกแล้ว จึงพากันหัวเราะและบอกว่า “อ้ายจำเรียนเอ๋ย เจ้าแกล้งพวกเราอีกแล้วนะ คราวนี้เราจะไม่เชื่อเจ้าอีกต่อไปแล้ว

อ้ายจำเรียนเห็นชาวบ้านไม่เชื่อและหัวเราะเยาะเขา ก็รู้สึกอายและเสียใจ เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่แกล้งชาวบ้านอีกต่อไป และหันมาทำหน้าที่เลี้ยงควายของเขาอย่างจริงจัง

คติสอนใจ**: การแกล้งผู้อื่นอาจทำให้เราสนุกสนานในช่วงแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนอื่นอาจไม่เชื่อถือและไม่ให้ความสำคัญกับเรา ดังนั้น เราควรทำตัวให้เป็นที่เชื่อถือและเคารพของผู้อื่น

นิทานเรื่อง อ้ายจำเรียนเด็กเลี้ยงควาย (ตอนที่ 5

หลังจากที่อ้ายจำเรียนสัญญากับตัวเองว่าจะไม่แกล้งชาวบ้านอีกแล้ว เขาก็เริ่มตั้งใจทำหน้าที่เลี้ยงควายอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ควายของเขาเริ่มมีสุขภาพดีขึ้น แต่สิ่งที่เขายังทำไม่ได้คือการควบคุมความซุกซนของตนเอง ซึ่งมันมักจะเกิดเรื่องฮาๆ ขึ้นเสมอๆ

วันหนึ่ง อ้ายจำเรียนคิดจะพาควายไปอาบน้ำที่ลำคลองใกล้หมู่บ้าน แต่ก่อนที่จะออกเดินทาง เขาได้คิดแผนการที่จะทำให้ควายของเขาน่าสนใจขึ้น ด้วยการใช้สีกระจายตามตัวควายเพื่อให้ดูสดใสและมีชีวิตชีวา

เขาหาเศษผ้าที่มีสีสดๆ แล้วผูกไว้ที่คอควาย และเมื่อไปถึงลำคลอง อ้ายจำเรียนก็เริ่มอาบน้ำให้ควาย ด้วยการขย้ำฟองสบู่เข้าไปทั่วทั้งตัวควาย ผลคือควายกลายเป็น “ควายฟองสบู่” อย่างสมบูรณ์แบบ!

ขณะที่เขาอาบน้ำให้ควาย เสียงหัวเราะจากชาวบ้านที่เห็นอ้ายจำเรียนและควายฟองสบู่ก็ดังขึ้นในลำคลอง “เฮ้ย! อ้ายจำเรียน ทำควายให้เป็นวาฬฟองสบู่หรือไง!” ชาวบ้านตะโกนขำๆ ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงฮา

แต่เมื่อควายได้รับการอาบน้ำเสร็จ กลับกลายเป็นว่า ฟองสบู่เหล่านั้นเกิดฟองใหญ่พุ่งออกมา ทำให้เกิดการกระเซ็นไปทั่ว ทุกคนที่อยู่รอบข้างต่างโดนฟองสบู่จนเปียกปอนไปตามๆ กัน

ชาวบ้านที่ถูกฟองสบู่กระเซ็นหน้าเศร้าๆ กลายเป็นขำก๊ากเสียงฮา ทั้งหมดต่างหัวเราะและพูดว่า “อ้ายจำเรียนเจ้าช่วยสร้างความสุขให้กับพวกเราได้เสมอ!”

อ้ายจำเรียนมองดูสภาพของทุกคนแล้วหัวเราะตามไปด้วย และในที่สุดเขาก็รู้ว่า การสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับคนอื่นนั้น ยิ่งใหญ่กว่าการแกล้งคน เพราะมันคือความสุขที่มาจากใจ

คติสอนใจ การทำให้คนอื่นมีความสุขและหัวเราะกัน เป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าการสร้างความวุ่นวายให้คนอื่น เราควรใช้ความสามารถของเราในการสร้างรอยยิ้มให้กับคนรอบข้างเสมอ 

นิทานเรื่อง อ้ายจำเรียนเด็กเลี้ยงควาย (ตอนจบ)

วันหนึ่ง หลังจากเกิดเรื่องขำขันของควายฟองสบู่ ทุกคนในหมู่บ้านก็ยังคงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน อ้ายจำเรียนรู้สึกดีใจที่สามารถทำให้คนรอบข้างมีความสุข แม้ว่ามันจะเป็นความบังเอิญ แต่เขาก็คิดว่ามันน่าจะทำให้ควายของเขาเป็นที่พูดถึงในหมู่บ้านไปอีกนาน

เมื่อเวลาผ่านไป อ้ายจำเรียนยังคงเลี้ยงควายอย่างตั้งใจ แต่เขาก็มีไอเดียใหม่ที่จะสร้างเสียงหัวเราะให้คนอื่นอีก เขาตัดสินใจที่จะจัดงานเลี้ยงขึ้นที่ลำคลอง เพื่อให้ชาวบ้านได้มาร่วมสนุกกัน

อ้ายจำเรียนเริ่มต้นด้วยการประกาศให้ทุกคนในหมู่บ้านมาร่วมงานเลี้ยงควาย “พี่น้องจ๋า มาร่วมสนุกกับควายฟองสบู่ของข้ากันเถอะ! จะมีการประกวดควายที่สวยที่สุดด้วยนะ!” ทุกคนตื่นเต้นและมาที่ลำคลองพร้อมกับควายของตนเอง

เมื่อวันงานมาถึง อ้ายจำเรียนจัดการประดับตกแต่งลำคลองด้วยธงหลากสี พร้อมกับเครื่องดื่มและขนมต่างๆ ที่ทุกคนชื่นชอบ รวมถึงการจัดให้มีเวทีสำหรับการแสดงตลก เขาขอให้ชาวบ้านร่วมสนุกกับการโชว์ทักษะและความสามารถของควายที่แต่งตัวสุดแปลกประหลาด

เมื่อการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ควายของอ้ายจำเรียนก็ได้โชว์การเดินแบบฟองสบู่ ทำให้ทุกคนหัวเราะกันจนท้องแข็ง บางคนก็เลียนแบบควาย โดยการพยายามเดินอย่างควายฟองสบู่ สร้างเสียงหัวเราะให้ดังขึ้นเรื่อยๆ

ในระหว่างงาน อ้ายจำเรียนได้เตรียมเกมสนุกๆ ให้ทุกคนได้เข้าร่วม เช่น เกมวิ่งแข่งกัน และเกมดึงเชือกที่ทุกคนต้องร่วมกันทำให้ควายของเขาเป็นดาวเด่นของงาน

เสียงหัวเราะและเสียงเชียร์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด อ้ายจำเรียนก็ตัดสินใจจะทำให้ควายของเขาได้รางวัล “ควายสุดฮา” โดยมอบถ้วยรางวัลทำจากฟองสบู่ให้กับควายฟองสบู่ของเขาเอง

ท้ายที่สุด เมื่องานเลี้ยงเสร็จสิ้น ทุกคนต่างขอบคุณอ้ายจำเรียนที่ได้สร้างความสุขและเสียงหัวเราะให้กับทุกคนในหมู่บ้าน เขารู้สึกมีความสุขและตระหนักว่า การสร้างความสนุกสนานให้คนรอบข้าง เป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต

คติสอนใจ การทำให้คนอื่นหัวเราะและมีความสุข เป็นพลังที่มีค่าที่สุด การใช้ความสามารถของเราเพื่อสร้างรอยยิ้มให้กับผู้อื่น คือความสำเร็จที่แท้จริงในชีวิต

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม