นิทานคุณธรรม

นิทานเรื่องจำเรียนเด็กเลี้ยงแกะ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ห้อมล้อมด้วยภูเขาและทุ่งหญ้า มีเด็กชายผู้หนึ่งชื่อว่า "อ้ายจำเรียน" เขาเป็นเด็กหนุ่มขยันขันแข็งและได้รับมอบหมายให้ดูแลฝูงแกะของหมู่บ้าน อ้ายจำเรียนมักจะพาฝูงแกะออกไปกินหญ้าในทุ่งนอกหมู่บ้านทุกวัน แต่ด้วยความที่เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ชอบความสนุกสนาน เขามักจะรู้สึกเบื่อหน่ายเวลาต้องเฝ้าแกะเพียงลำพัง
วันหนึ่ง อ้ายจำเรียนคิดสนุกอยากจะแกล้งชาวบ้าน เขาจึงตะโกนดังลั่นไปยังหมู่บ้านว่า "หมาป่า! หมาป่ามาแล้ว! ช่วยด้วย!"

ชาวบ้านที่ได้ยินเสียงร้องรีบวิ่งออกมาพร้อมกับอาวุธในมือเพื่อช่วยป้องกันฝูงแกะ เมื่อมาถึง พวกเขาก็พบว่าไม่มีหมาป่าอยู่เลย อ้ายจำเรียนหัวเราะลั่น "ข้าแค่ล้อเล่นน่ะ ไม่มีหมาป่าหรอก!"

ชาวบ้านต่างหงุดหงิดแต่ก็กลับไปทำงานของตน วันต่อมา อ้ายจำเรียนก็แกล้งตะโกนเรียกชาวบ้านอีกครั้งว่า "หมาป่ามาแล้ว! ช่วยด้วย!"

คราวนี้ชาวบ้านรีบวิ่งออกมาอีกครั้ง แต่ก็พบว่าไม่มีหมาป่าอีกเช่นเคย พวกเขาเริ่มไม่พอใจมากขึ้นและเตือนอ้ายจำเรียนว่าอย่าโกหกอีก

แต่อ้ายจำเรียนก็ยังไม่เข็ด วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังเฝ้าแกะตามปกติ หมาป่าตัวจริงก็ปรากฏตัวขึ้น มันเริ่มไล่ต้อนฝูงแกะอย่างดุร้าย อ้ายจำเรียนตกใจกลัวและตะโกนร้องเรียกชาวบ้านด้วยเสียงอันดัง "หมาป่ามาแล้ว! ช่วยด้วยจริงๆ!"

แต่คราวนี้ไม่มีใครเชื่อเขาอีกต่อไป พวกเขาคิดว่าอ้ายจำเรียนคงล้อเล่นเหมือนเดิม หมาป่าก็ไล่ล่าแกะไปหลายตัวจนฝูงแกะกระจัดกระจาย อ้ายจำเรียนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่เสียใจที่ตนเองเคยโกหก

จากวันนั้นเป็นต้นมา อ้ายจำเรียนได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญว่า การโกหกไม่เพียงแต่ทำให้คนอื่นไม่เชื่อใจ แต่ยังส่งผลร้ายแรงในเวลาที่เขาต้องการความช่วยเหลือจริงๆ

**นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า**: อย่าโกหก เพราะเมื่อถึงเวลาที่เราต้องการความช่วยเหลือจริง คนอื่นอาจไม่เชื่อเรา

**นิทานเรื่องห่านห่าง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีชายชรานามว่า **อ้ายจำเรียน** อาศัยอยู่ตามลำพังในกระท่อมเก่าๆ เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเงินและชีวิตลำบากมาก แต่เขามีใจดีและชอบช่วยเหลือเพื่อนบ้านเสมอ ถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะไม่มีอะไรมากก็ตาม

วันหนึ่ง ขณะที่อ้ายจำเรียนเดินเล่นในป่า เขาได้พบกับ **ห่านห่าง** ซึ่งเป็นห่านที่แปลกตากว่าห่านทั่วไป ตัวมันใหญ่และขนสีทองที่เปล่งประกาย ห่านห่างมองอ้ายจำเรียนด้วยสายตาที่อบอุ่นและพูดขึ้นว่า "ข้าคือห่านวิเศษ หากท่านช่วยข้า ข้าจะตอบแทนท่านอย่างดี"

อ้ายจำเรียนตกใจที่ได้ยินห่านพูด แต่เขาไม่คิดอะไรนาน จึงถามห่านห่างว่า "ข้าต้องทำอะไรเพื่อช่วยเจ้า?"

ห่านห่างบอกว่า "ข้าถูกสาปให้ไม่สามารถออกไปจากป่านี้ ข้าต้องการให้ท่านพาข้าไปอยู่กับท่านที่บ้าน ข้าจะตอบแทนท่านด้วยไข่ทองคำทุกวัน"

อ้ายจำเรียนได้ฟังเช่นนั้นก็ยิ่งตกใจมากขึ้น แต่ด้วยความเมตตาและอยากช่วยเหลือ เขาจึงตกลงพาห่านห่างกลับไปที่บ้านของตน

ในวันรุ่งขึ้น ห่านห่างได้ออกไข่ทองคำให้กับอ้ายจำเรียนหนึ่งฟอง ทองคำฟองนั้นทำให้อ้ายจำเรียนสามารถนำไปขายและได้เงินทองมากมาย เขาใช้เงินนั้นซื้ออาหารและเสื้อผ้าใหม่ๆ แต่ถึงแม้จะมีเงินมากขึ้น เขาก็ยังคงเป็นคนใจกว้างเหมือนเดิม คอยช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้านเสมอ

วันเวลาผ่านไป อ้ายจำเรียนมีความสุขกับชีวิตที่เรียบง่าย เขาและห่านห่างเป็นเพื่อนกันและใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไข่ทองคำที่ห่านห่างออกให้ทุกวันก็เพียงพอที่จะทำให้อ้ายจำเรียนอยู่ได้อย่างไม่ลำบาก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า **ความเมตตาและความซื่อสัตย์จะนำพาความสุขและโชคลาภมาให้** โดยไม่ต้องโลภหรือขาดความพอเพียง

**นิทานเรื่อง ราชสีห์อ้ายจำเรียนกับหนู**
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่ากว้างใหญ่แห่งหนึ่ง มีราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่ปกครองอาณาจักรสัตว์ทั้งหมด เขามีชื่อว่า **อ้ายจำเรียน** เป็นราชสีห์ที่แข็งแรงและกล้าหาญ ทุกสัตว์ในป่าต่างหวาดกลัวและเคารพในตัวเขา เพราะเขาเป็นผู้ครองป่าที่ทรงพลังและยุติธรรม

วันหนึ่ง ขณะที่อ้ายจำเรียนกำลังนอนหลับใต้ร่มไม้ใหญ่หลังจากตระเวนตรวจตราป่า อยู่ๆ ก็มี **หนูตัวเล็ก** ตัวหนึ่งวิ่งเล่นไปมาบนตัวของเขา หนูไม่รู้ตัวว่ากำลังอยู่บนหลังของราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่ และคิดว่าเป็นแค่ก้อนหินขรุขระ

ทันใดนั้นเอง อ้ายจำเรียนก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความรำคาญ เมื่อเห็นว่าเป็นหนูตัวเล็ก เขาก็ใช้เท้าหน้าขนาดใหญ่ของเขาตะปบหนูไว้ หนูตกใจและกลัวมาก มันตัวสั่นและร้องขอชีวิต "ข้า ข้า ขอร้องท่านราชสีห์ อย่ากินข้าเลย ข้าเป็นเพียงหนูตัวเล็กๆ ไม่มีคุณค่ากับท่านเลย"

อ้ายจำเรียนมองหนูตัวเล็กด้วยสายตาที่ยิ้มเยาะ และกล่าวว่า "เจ้าหนูตัวน้อย เจ้าเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีความหมายอะไรสำหรับข้า ทำไมข้าต้องไว้ชีวิตเจ้าด้วย?"

หนูจึงตอบกลับด้วยความกล้าหาญว่า "ถึงข้าจะเป็นเพียงหนูตัวเล็ก แต่วันหนึ่งข้าอาจช่วยท่านได้ ใครจะรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น"

ราชสีห์อ้ายจำเรียนหัวเราะด้วยความขบขัน แต่ก็ประทับใจในความกล้าหาญและคำพูดของหนู เขาจึงตัดสินใจปล่อยหนูไป "ไปเถิด เจ้าไม่มีอะไรที่จะทำร้ายข้าได้ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า"

หนูวิ่งหนีไปด้วยความดีใจ และสัญญากับตัวเองว่าจะหาทางตอบแทนบุญคุณราชสีห์

หลายวันต่อมา ขณะที่อ้ายจำเรียนออกล่าสัตว์ เขากลับถูกจับโดยกลุ่มนายพรานที่วางกับดักไว้ นายพรานได้ผูกเชือกหนาเพื่อดักราชสีห์ไว้กับต้นไม้ อ้ายจำเรียนพยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากเชือกที่รัดแน่นได้

ขณะที่อ้ายจำเรียนกำลังหมดหวัง หนูตัวเล็กที่เขาเคยไว้ชีวิตได้เห็นเหตุการณ์และรีบวิ่งเข้ามาโดยไม่ลังเล "อย่ากังวลเลยท่านราชสีห์ ข้าจะช่วยท่านเอง!" หนูเริ่มใช้ฟันคมของมันกัดเชือกทีละนิดๆ อย่างไม่ย่อท้อ จนในที่สุดเชือกก็ขาดออก

อ้ายจำเรียนได้รับอิสรภาพอีกครั้ง เขารู้สึกขอบคุณหนูตัวเล็กเป็นอย่างมาก "ข้าคิดผิดไปจริงๆ หนูตัวเล็กเช่นเจ้าก็สามารถช่วยราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ ขอบใจเจ้ามาก"

หนูตอบกลับด้วยรอยยิ้ม "แม้ตัวข้าจะเล็ก แต่ความดีและน้ำใจไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่เสมอ"

จากวันนั้นเป็นต้นมา อ้ายจำเรียนกับหนูตัวเล็กกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และทั้งสองก็ต่างช่วยเหลือกันและกันในยามจำเป็นเสมอ

**นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า** **อย่าดูถูกคนอื่นเพียงเพราะเขาดูเล็กน้อยหรือไม่มีพลัง เพราะแม้แต่ผู้ที่ดูเหมือนไม่มีค่าในสายตาเรา ก็อาจเป็นผู้ช่วยเหลือในยามที่เราต้องการมากที่สุด**

**นิทานเรื่อง กาอ้ายจำเรียนกับเหยือกน้ำ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มี **กา** ตัวหนึ่งนามว่า **อ้ายจำเรียน** อาศัยอยู่ในป่าที่อุดมสมบูรณ์ อ้ายจำเรียนเป็นกาที่ฉลาดมาก แต่ก็มีนิสัยชอบแก้ปัญหาด้วยวิธีการแปลกๆ และบางครั้งก็ชอบท้าทายความสามารถของตัวเอง

วันหนึ่ง อากาศร้อนจัดและไม่มีน้ำให้ดื่ม อ้ายจำเรียนกระหายน้ำมาก มันบินไปทั่วเพื่อหาน้ำดื่ม จนในที่สุด มันก็มองเห็น **เหยือกน้ำ** ใบหนึ่งตั้งอยู่ใกล้กับต้นไม้ใหญ่ อ้ายจำเรียนบินลงมาอย่างรวดเร็วด้วยความหวังว่าจะดื่มน้ำให้ชื่นใจ

เมื่ออ้ายจำเรียนเอาปากลงไปที่ปากเหยือก มันก็พบว่ามีน้ำอยู่ในเหยือกเพียงเล็กน้อย น้ำอยู่ลึกจนมันไม่สามารถเอาปากไปถึงน้ำได้ อ้ายจำเรียนรู้สึกท้อแท้ แต่ด้วยความเป็นกาฉลาด มันไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

อ้ายจำเรียนนั่งคิดสักพัก ก่อนจะมองไปรอบๆ มันเห็นก้อนหินเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ มันจึงคิดหาวิธีการแก้ปัญหา มันใช้ปากคาบก้อนหินแล้วค่อยๆ หย่อนลงไปในเหยือก น้ำในเหยือกค่อยๆ สูงขึ้นทีละนิด ทุกครั้งที่หย่อนหินลงไป น้ำก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ

อ้ายจำเรียนไม่หยุดพัก มันคาบหินมาหย่อนใส่เหยือกจนในที่สุด น้ำในเหยือกก็สูงพอที่มันจะดื่มได้ อ้ายจำเรียนดื่มน้ำอย่างสบายใจและชื่นใจ มันรู้สึกภาคภูมิใจในความพยายามและความฉลาดของตนเอง

จากวันนั้นเป็นต้นมา อ้ายจำเรียนไม่เคยลืมบทเรียนที่สำคัญนี้เลยว่า **ความพยายามและความคิดสร้างสรรค์สามารถแก้ปัญหาที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ได้**

**นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า** **หากเรามีปัญหา เราควรใช้สติปัญญาและความพยายามในการแก้ไข เพราะทุกปัญหามักมีทางออกเสมอ เพียงแค่เราต้องหาวิธีที่ถูกต้อง**

**นิทานเรื่อง ลมอ้ายจำเรียนกับพระอาทิตย์**

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว บนท้องฟ้าสีครามอันกว้างใหญ่ มี **ลม** ที่ชื่อว่า **อ้ายจำเรียน** และ **พระอาทิตย์** ที่ส่องสว่างทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งสองต่างเป็นพลังธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่และทรงพลัง แต่วันหนึ่ง อ้ายจำเรียนและพระอาทิตย์เกิดการโต้เถียงกันว่าใครมีพลังมากกว่ากัน

อ้ายจำเรียนลมพัดแรงพลางกล่าวว่า "ข้าคือพลังที่สามารถพัดทุกสิ่งทุกอย่างออกจากทางได้ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ใบไม้ หรือแม้แต่หลังคาบ้าน เจ้าพระอาทิตย์จะเอาชนะข้าได้อย่างไร?"

พระอาทิตย์ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วตอบกลับ "ข้าอาจไม่พัดหรือเคลื่อนไหว แต่พลังของข้าคือการส่องแสงและทำให้โลกร้อนขึ้น ข้าสามารถทำให้สิ่งต่างๆ บนโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน"

ทั้งสองจึงตัดสินใจที่จะทดสอบกันว่าใครมีพลังมากกว่ากัน โดยมองลงไปยังพื้นโลกและเห็น **ชายคนหนึ่ง** เดินอยู่ในทุ่งนา ชายคนนั้นสวมเสื้อคลุมยาวเพื่อกันลมและแดด ทั้งลมอ้ายจำเรียนและพระอาทิตย์จึงตกลงกันว่า ใครที่สามารถทำให้ชายคนนี้ถอดเสื้อคลุมออกได้ก่อน จะเป็นผู้ชนะ

ลมอ้ายจำเรียนเริ่มก่อน มันพัดแรงสุดกำลังจนทุ่งนากระจาย ชายคนนั้นรู้สึกถึงแรงลมที่หนาวเย็นและรุนแรง จึงยิ่งดึงเสื้อคลุมของเขาให้แน่นขึ้นเพื่อกันลม ลมอ้ายจำเรียนพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าลมจะแรงเพียงใด ชายคนนั้นก็ยังคงไม่ถอดเสื้อคลุม แถมยังพยายามดึงเสื้อคลุมให้กระชับตัวมากขึ้นอีก

ถึงเวลาของพระอาทิตย์บ้าง พระอาทิตย์เริ่มส่องแสงอย่างอ่อนโยนและอบอุ่น แสงแดดที่อ่อนโยนทำให้ชายคนนั้นเริ่มรู้สึกสบายตัว ลมก็หยุดพัดแล้ว ทันใดนั้นพระอาทิตย์ก็เพิ่มความร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนชายคนนั้นรู้สึกร้อนอบอ้าว เขาจึงค่อยๆ คลายเสื้อคลุมออก และในที่สุดก็ถอดเสื้อคลุมออกไปเพื่อระบายความร้อน

พระอาทิตย์ชนะการแข่งขันครั้งนี้ ลมอ้ายจำเรียนยอมรับในความพ่ายแพ้ และกล่าวกับพระอาทิตย์ว่า "ข้าคิดผิดไป ข้าไม่ควรคิดว่าความรุนแรงเท่านั้นที่ทำให้ข้าทรงพลัง ความอบอุ่นและความอ่อนโยนของเจ้ากลับมีพลังมากกว่าข้าเสียอีก"

พระอาทิตย์ยิ้มและตอบว่า "ความอ่อนโยนบางครั้งก็มีพลังมากกว่าความรุนแรง เพียงแค่รู้จักใช้ให้ถูกเวลาและสถานการณ์"

**นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า** **ความอ่อนโยนและความอดทนบางครั้งมีพลังมากกว่าความแข็งกร้าวและรุนแรง เราควรเรียนรู้ที่จะใช้วิธีที่นุ่มนวลและมีสติในการแก้ปัญหา**

**จบ**

**นิทานเรื่อง มดอ้ายจำเรียนกับตั๊กแตนอ้ายจำเรียน**

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ มี **มด** ที่ชื่อว่า **อ้ายจำเรียน** เป็นมดที่ขยันขันแข็งและรู้จักทำงานสะสมอาหารไว้สำหรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง ทุกๆ วัน อ้ายจำเรียนจะออกจากรังแต่เช้าตรู่เพื่อเก็บเมล็ดพืชและใบไม้กลับไปยังรังของมัน มันทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพราะรู้ว่าต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันที่ลมหนาวพัดมา

ขณะเดียวกัน **ตั๊กแตน** ที่มีชื่อว่า **อ้ายจำเรียน** เช่นกัน เป็นตั๊กแตนที่ชอบร้องเพลงและเต้นรำไปทั่วทุ่งหญ้า ตั๊กแตนอ้ายจำเรียนมักจะมองดูมดทำงานด้วยความสงสัยและหัวเราะ "เจ้ามดอ้ายจำเรียน เจ้าทำงานหนักไปทำไมกัน? ตอนนี้อากาศดีออก เจ้าควรสนุกสนานเหมือนข้าดีกว่า มาดิ้นรำร้องเพลงกับข้าดีกว่า!"

มดอ้ายจำเรียนหันมามองตั๊กแตนอ้ายจำเรียนและตอบอย่างใจเย็น "ข้าไม่สามารถหยุดทำงานได้ ตอนนี้ยังเป็นฤดูร้อน แต่ฤดูหนาวกำลังจะมา หากข้าไม่เตรียมอาหารไว้ตั้งแต่ตอนนี้ ข้าจะไม่มีอะไรกินในฤดูหนาว"

แต่ตั๊กแตนอ้ายจำเรียนกลับไม่ฟังและคิดว่ามดนั้นขยันเกินไป มันคิดว่าในเมื่อฤดูร้อนยังยาวนาน ก็ไม่มีความจำเป็นต้องกังวลเรื่องอาหาร มันจึงยังคงใช้เวลาไปกับการร้องเพลงและเล่นสนุก โดยไม่ได้สนใจเก็บอาหารหรือเตรียมตัวสำหรับฤดูหนาวเลย

เวลาผ่านไป ฤดูร้อนสิ้นสุดลงและฤดูหนาวมาถึง ลมหนาวพัดเข้ามาทั่วทุ่งหญ้า อากาศเริ่มเย็นยะเยือกจนหาอาหารยากขึ้น ตั๊กแตนอ้ายจำเรียนเริ่มหิวโหย ไม่มีอาหารให้มันกินอีกต่อไป เพราะมันไม่ได้เตรียมตัวไว้ตั้งแต่ฤดูร้อน

ตั๊กแตนอ้ายจำเรียนจึงบินไปหามดอ้ายจำเรียนที่ยังคงอยู่ในรังอบอุ่นพร้อมกับกองอาหารมากมาย ตั๊กแตนอ้ายจำเรียนรู้สึกอับอายและขอโทษมดอ้ายจำเรียน "ข้าเข้าใจแล้วว่าเจ้าคิดถูก ข้าไม่น่ามัวแต่เล่นสนุก ข้าควรทำงานเหมือนเจ้าเพื่อเตรียมตัวสำหรับฤดูหนาว"

มดอ้ายจำเรียนฟังแล้วก็ยิ้ม "ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าทุกสิ่งมีเวลาของมัน ฤดูร้อนเป็นเวลาของการทำงานเตรียมตัว ฤดูหนาวเป็นเวลาพักผ่อนและใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เราเตรียมไว้ แต่ตอนนี้ข้าจะช่วยเจ้า เจ้าสามารถมากินอาหารกับข้าได้ในครั้งนี้"

จากนั้นตั๊กแตนอ้ายจำเรียนก็ได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญว่าความสนุกสนานนั้นมีค่า แต่การทำงานหนักและการเตรียมตัวล่วงหน้าเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อรับมือกับอนาคต

**นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า** **การเตรียมพร้อมและความขยันหมั่นเพียรในเวลาที่เหมาะสม จะช่วยให้เราผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ และความรับผิดชอบสำคัญกว่าความสนุกชั่วคราว**

**จบ**

**นิทานเรื่อง แม่กบอ้ายจำเรียนกับวัว เพื่อนรัก**

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในทุ่งหญ้าเขียวขจีที่มีบึงน้ำอยู่กลางทุ่ง มี **แม่กบ** ชื่อว่า **อ้ายจำเรียน** อาศัยอยู่กับลูกกบตัวน้อยๆ หลายตัว พวกมันชอบกระโดดเล่นน้ำและร้องเพลงอยู่ในบึงน้ำใส ทุกวันเป็นวันอันสงบสุขในโลกของแม่กบและลูกๆ ของเธอ

ไม่ไกลจากบึงน้ำ มี **วัวตัวใหญ่** ชื่อว่า **อ้ายจำเรียน** เช่นกัน เขาเป็นวัวใจดีที่ชอบเดินกินหญ้าและพักผ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้บึง วัวอ้ายจำเรียนมักจะมองดูลูกกบเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน และบางครั้งก็ยิ้มด้วยความเอ็นดู

วันหนึ่ง ขณะที่วัวอ้ายจำเรียนกำลังเดินเข้ามาใกล้บึงเพื่อดื่มน้ำ แม่กบอ้ายจำเรียนสังเกตเห็นวัวตัวใหญ่ที่เข้ามา เธอรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อยเพราะวัวดูตัวใหญ่และแข็งแรงกว่ากบมาก แม่กบคิดว่า "ถ้าวัวเหยียบพวกเรา เราจะต้องแย่แน่ๆ"

ด้วยความระแวง แม่กบอ้ายจำเรียนจึงกระโดดขึ้นจากบึงและร้องเตือนลูกๆ ให้ระวังตัว "ลูกๆ ระวังนะ อย่าเข้าไปใกล้วัวตัวใหญ่นั่น เดี๋ยวเขาอาจจะเหยียบเราโดยไม่ได้ตั้งใจ!"

วัวอ้ายจำเรียนได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเศร้า เพราะเขาไม่เคยคิดร้ายกับกบตัวไหนเลย เขาจึงเดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ และพูดกับแม่กบอ้ายจำเรียนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "ไม่ต้องกลัวข้าเลย ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้าหรือพวกลูกกบ ข้าแค่อยากมาเป็นเพื่อนกับพวกเจ้าเท่านั้นเอง"

แม่กบอ้ายจำเรียนฟังแล้วรู้สึกประหลาดใจ "เจ้าเป็นวัวตัวใหญ่ แล้วจะมาเป็นเพื่อนกับกบตัวเล็กๆ อย่างเราได้อย่างไร?"

วัวอ้ายจำเรียนยิ้มและพูดว่า "แม้ข้าจะตัวใหญ่ แต่ข้าก็มีใจที่อ่อนโยน เราทุกคนมีความสำคัญในแบบของเรา ข้าอาจจะตัวใหญ่ แต่เจ้าก็มีความว่องไวและชาญฉลาดมาก ข้าอยากเรียนรู้จากเจ้าและพวกลูกกบ ข้ารักความสงบในบึงน้ำของพวกเจ้า"

หลังจากได้ฟังคำพูดของวัว แม่กบอ้ายจำเรียนเริ่มเชื่อใจ และตอบด้วยรอยยิ้ม "ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับเจ้า เราอาจจะต่างกันมาก แต่นั่นไม่สำคัญหรอกถ้าเรามีใจที่ดีต่อกัน"

ตั้งแต่นั้นมา วัวอ้ายจำเรียนกับแม่กบอ้ายจำเรียนและลูกกบก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน วัวจะมาเยี่ยมที่บึงทุกวันเพื่อดูพวกกบเล่นน้ำและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แม้วัวจะตัวใหญ่และกบจะตัวเล็ก แต่พวกเขาก็ช่วยเหลือกัน วัวช่วยกันภัยให้กับกบจากสัตว์อื่น และกบก็เล่าเรื่องราวสนุกๆ จากบึงให้วัวฟัง

**นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า** **แม้เราจะมีความแตกต่างกันทั้งในรูปร่างหรือลักษณะ แต่ความแตกต่างนั้นไม่ใช่อุปสรรคในการสร้างมิตรภาพ ความเข้าใจและความเมตตาต่างหากที่สำคัญที่สุดในการเป็นเพื่อนกัน**

**จบ**








ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม