นิทานพื้นบ้านไทย
แต่งนิทานเรื่องไกรทอง
ในดินแดนอันไกลโพ้น มีหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งชื่อว่า "บ้านดงพญาเย็น" ที่ซึ่งมีชายหนุ่มรูปงามนามว่า "ไกรทอง" อาศัยอยู่ ไกรทองเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่บ้านด้วยความกล้าหาญและความแข็งแกร่งของเขา
วันหนึ่ง ขณะที่ไกรทองกำลังเดินผ่านป่า เขาได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เขารีบวิ่งไปตามเสียงนั้นและพบหญิงสาวคนหนึ่งกำลังถูกเสือร้ายทำร้าย ไกรทองไม่ลังเลที่จะเข้าไปช่วยเหลือ เขาต่อสู้กับเสืออย่างกล้าหาญและในที่สุดก็สามารถฆ่ามันได้
หญิงสาวคนนั้นชื่อ "นางวันทอง" เธอเป็นลูกสาวของเศรษฐีผู้มั่งคั่งในหมู่บ้านข้างเคียง นางวันทองรู้สึกซาบซึ้งในความกล้าหาญของไกรทองและตกหลุมรักเขาในทันที
ไกรทองและนางวันทองแต่งงานกันและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่ความสุขของพวกเขาไม่ยืนยาวนัก เมื่อท้าวสามล ลูกชายของเจ้าเมือง ได้เห็นนางวันทองและหลงใหลในความงามของเธอ ท้าวสามลพยายามเกลี้ยกล่อมให้นางวันทองเป็นภรรยาของเขา แต่เธอปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
ท้าวสามลโกรธมากและสั่งให้จับไกรทองไปประหารชีวิต ไกรทองถูกตัดสินให้ประหารด้วยการโยนลงไปในบ่อจระเข้ แต่ด้วยความช่วยเหลือของวิชาอาคมที่เขาเรียนรู้จากฤๅษีตนหนึ่ง ไกรทองจึงสามารถเอาตัวรอดจากจระเข้ได้
ไกรทองหลบหนีไปยังป่าและใช้ชีวิตอย่างเร่ร่อน เขาฝึกฝนวิชาอาคมและกลายเป็นผู้มีพลังวิเศษ ในที่สุด ไกรทองก็กลับมาที่หมู่บ้านและท้าทายท้าวสามลต่อสู้
การต่อสู้ระหว่างไกรทองและท้าวสามลเป็นไปอย่างดุเดือด ไกรทองใช้พลังวิเศษของเขาเพื่อเอาชนะท้าวสามลและช่วยนางวันทองกลับคืนมา
ไกรทองและนางวันทองกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอีกครั้ง และพวกเขาก็ครองรักกันจนชั่วชีวิต
-----
Q386
แต่งนิทานเรื่องปลาบู่ทอง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายยากจนคนหนึ่งชื่อว่า "จันทร์" เขาอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆ กับภรรยาที่ชื่อ "ดาว" ทั้งคู่ทำงานหนักแต่ก็ยังยากจนอยู่ดี
วันหนึ่ง จันทร์ออกไปหาปลาในแม่น้ำ เขาโยนแหลงไปหลายครั้งแต่ก็ไม่ติดปลาเลย จนกระทั่งครั้งสุดท้าย แหของเขาก็ไปติดอะไรบางอย่าง เมื่อเขาดึงขึ้นมา เขาก็พบปลาตัวหนึ่งที่แปลกประหลาด มันเป็นปลาสีทองตัวเล็กๆ มีเกล็ดที่เป็นประกายระยิบระยับ
จันทร์ดีใจมาก เขาคิดว่าปลาตัวนี้คงเป็นปลาศักดิ์สิทธิ์ จึงนำมันกลับบ้านไปเลี้ยงดูอย่างดี เขาและดาวดูแลปลาตัวนี้ราวกับลูกของตนเอง
ปลาบู่ทองเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและสามารถพูดได้เหมือนมนุษย์ มันบอกกับจันทร์และดาวว่า "ถ้าพวกท่านมีอะไรที่ต้องการ ขอให้บอกข้าเถิด ข้าจะทำให้สำเร็จ"
จันทร์และดาวดีใจมาก พวกเขาขอให้ปลาบู่ทองช่วยให้พวกเขามีความสุขและร่ำรวย ปลาบู่ทองก็ทำตามคำขอของพวกเขา พวกเขามีบ้านหลังใหญ่ มีอาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์ และมีชีวิตที่สุขสบาย
แต่แล้ววันหนึ่ง จันทร์และดาวก็เริ่มโลภ พวกเขาขอให้ปลาบู่ทองให้พวกเขามีอำนาจและเกียรติยศ ปลาบู่ทองเตือนพวกเขาว่า "ความโลภจะนำมาซึ่งความหายนะ" แต่จันทร์และดาวไม่ฟัง
ปลาบู่ทองจึงสาปให้พวกเขากลับไปยากจนเหมือนเดิม บ้านหลังใหญ่ของพวกเขาก็หายไป อาหารการกินก็หมดสิ้น พวกเขากลับไปอยู่กระท่อมเล็กๆ เหมือนเดิม
จันทร์และดาวเสียใจมาก พวกเขาสำนึกผิดในความโลภของตนเอง พวกเขาขอให้ปลาบู่ทองยกโทษให้ แต่ปลาบู่ทองได้จากไปแล้ว
ตั้งแต่นั้นมา จันทร์และดาวก็ใช้ชีวิตอย่างยากจน แต่พวกเขาก็มีความสุข เพราะพวกเขาได้เรียนรู้บทเรียนอันมีค่าว่า "ความโลภไม่เคยนำมาซึ่งสิ่งที่ดี"
-----
Q387
แต่งนิทานเรื่องไซยะเชษฐ์
ในดินแดนอันไกลโพ้น มีอาณาจักรแห่งหนึ่งชื่อว่า "สิงหะบุรี" ปกครองโดยพระราชาผู้ทรงพระนามว่า "พระเจ้าพรหมทัต" พระองค์มีพระราชโอรสสิบหกพระองค์ แต่พระโอรสองค์ที่สิบหกนั้นทรงพระนามว่า "ไซยะเชษฐ์" มีพระวรกายที่อ่อนแอและไม่แข็งแรงเหมือนพระเชษฐาองค์อื่นๆ
เมื่อพระโอรสทั้งสิบหกพระองค์เจริญวัย พระเจ้าพรหมทัตทรงปรารถนาจะแบ่งอาณาจักรให้แก่พระโอรสแต่ละพระองค์ พระองค์จึงตรัสเรียกพระโอรสทั้งสิบหกพระองค์มาเฝ้า และตรัสว่า "โอรสทั้งหลาย บัดนี้พวกเจ้าเจริญวัยแล้ว อาณาจักรของเราก็ใหญ่โตนัก เราจึงปรารถนาจะแบ่งอาณาจักรให้แก่พวกเจ้า"
พระโอรสทั้งสิบห้าพระองค์ต่างทรงดีพระทัยและกราบทูลรับพระราชโองการ แต่ไซยะเชษฐ์กลับทรงกราบทูลว่า "ข้าพระองค์มิอาจรับอาณาจักรได้ ข้าพระองค์มีพระวรกายที่อ่อนแอ มิอาจปกครองอาณาจักรได้"
พระเจ้าพรหมทัตทรงขัดพระทัย แต่ก็ทรงเคารพในพระราชประสงค์ของไซยะเชษฐ์ จึงตรัสว่า "หากเช่นนั้น เจ้าก็จงเลือกสิ่งใดก็ได้จากอาณาจักรนี้"
ไซยะเชษฐ์ทรงคิดอยู่นาน แล้วจึงกราบทูลว่า "ข้าพระองค์ขอเลือกพระราชโอรสสิบห้าพระองค์"
พระเจ้าพรหมทัตทรงแปลกพระทัย แต่ก็ทรงอนุญาตให้ไซยะเชษฐ์เลือกพระราชโอรสสิบห้าพระองค์ได้ตามที่ทรงประสงค์
ไซยะเชษฐ์ทรงพาพระราชโอรสสิบห้าพระองค์ออกจากอาณาจักร และเดินทางไปยังดินแดนอันไกลโพ้น จนกระทั่งมาถึงป่าแห่งหนึ่งที่อุดมสมบูรณ์ ไซยะเชษฐ์ทรงใช้ปัญญาและความรู้ของพระองค์ในการสร้างเมืองขึ้นในป่านั้น และตั้งชื่อเมืองว่า "เมืองไซยะบุรี"
ไซยะเชษฐ์ทรงปกครองเมืองไซยะบุรีด้วยความเมตตาและยุติธรรม พระองค์ทรงนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่เมือง และทำให้เมืองไซยะบุรีกลายเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่และมั่งคั่ง
ในขณะเดียวกัน พระราชโอรสสิบห้าพระองค์ที่ได้รับอาณาจักรจากพระเจ้าพรหมทัตกลับปกครองอาณาจักรของตนด้วยความเห็นแก่ตัวและกดขี่ประชาชน ทำให้ประชาชนในอาณาจักรทั้งสิบห้าต่างเดือดร้อนและยากลำบาก
เมื่อข่าวความเจริญรุ่งเรืองของเมืองไซยะบุรีแพร่กระจายไปทั่วอาณาจักร ประชาชนในอาณาจักรทั้งสิบห้าต่างพากันอพยพมายังเมืองไซยะบุรีเพื่อแสวงหาความสุขและความปลอดภัย
ในที่สุด เมืองไซยะบุรีก็กลายเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่และมั่งคั่งที่สุดในดินแดนนั้น และไซยะเชษฐ์ก็ทรงเป็นที่รักและเคารพของประชาชนทั้งปวง
-----
Q388
แต่งนิทานเรื่องนางอุทัยเทวี
ในดินแดนอันไกลโพ้น มีอาณาจักรแห่งหนึ่งชื่อว่า "อโยธยา" ซึ่งปกครองโดยพระเจ้าอู่ทอง ผู้ทรงพระปรีชาสามารถและมีพระมเหสีที่ทรงพระสิริโฉมงดงามยิ่งนามว่า "นางอุทัยเทวี"
นางอุทัยเทวีเป็นธิดาของพระยาเมืองสวรรค์แห่งอาณาจักรสุโขทัย พระนางทรงงามทั้งรูปโฉมและจิตใจ อ่อนโยนและเมตตาต่อทุกผู้คน พระนางเป็นที่รักใคร่ของทั้งพระสวามีและพสกนิกร
วันหนึ่ง ขณะที่นางอุทัยเทวีทรงประทับอยู่ในสวนหลวง พระนางได้พบกับนกยูงตัวหนึ่งที่บาดเจ็บ นางอุทัยเทวีทรงเมตตาจึงทรงนำนกยูงกลับมายังพระราชวังและทรงดูแลรักษาจนหายดี
นกยูงตัวนั้นรู้สึกซาบซึ้งในพระกรุณาของนางอุทัยเทวี จึงได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรู้ของพระนาง นกยูงสามารถพูดภาษาคนได้และคอยติดตามนางอุทัยเทวีไปทุกหนทุกแห่ง
ต่อมา พระเจ้าอู่ทองทรงมีพระราชโอรสกับนางอุทัยเทวีพระนามว่า "พระรามราชา" พระรามราชาทรงเป็นเจ้าชายที่ฉลาดและกล้าหาญ พระองค์ทรงรักและเคารพพระมารดาของพระองค์ยิ่งนัก
เมื่อพระรามราชาทรงเจริญวัย พระองค์ได้ทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเจ้าอู่ทอง นางอุทัยเทวีทรงเป็นพระพันปีหลวงที่ทรงพระปรีชาสามารถ พระนางทรงคอยให้คำปรึกษาและช่วยเหลือพระโอรสในการปกครองอาณาจักร
นางอุทัยเทวีทรงครองพระชนม์ชีพอย่างมีความสุขและทรงเป็นที่เคารพรักของพสกนิกรทั้งหลาย พระนางทรงเป็นแบบอย่างของความเมตตา ความกรุณา และความเสียสละ พระนามของพระนางยังคงเป็นที่จดจำและเล่าขานสืบมาจนถึงปัจจุบัน
-----
Q389
แต่งนิทานเรื่องสังทอง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในดินแดนอันไกลโพ้น มีหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ชื่อว่า "บ้านนาแก" ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้มีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและสงบสุข
ในหมู่บ้านนั้น มีครอบครัวหนึ่งที่ยากจนมาก ชื่อว่า "ครอบครัวของสังข์" ครอบครัวนี้มีลูกสาวคนหนึ่งชื่อ "สังทอง" สังทองเป็นเด็กสาวที่สวยงามและมีน้ำใจดี แต่เธอกลับมีชะตากรรมที่โหดร้าย
วันหนึ่ง ขณะที่สังทองกำลังเดินเล่นอยู่ในป่า เธอก็ได้พบกับยักษ์ตนหนึ่ง ยักษ์ตนนั้นชื่อ "ท้าวสามล" ท้าวสามลเป็นยักษ์ที่ดุร้ายและโหดเหี้ยม ทันทีที่เห็นสังทอง ยักษ์ก็ตกหลุมรักในความงามของเธอและพยายามที่จะจับตัวเธอไป
สังทองวิ่งหนีด้วยความกลัว แต่ท้าวสามลก็วิ่งตามเธอมาอย่างไม่ลดละ สังทองวิ่งไปจนถึงริมแม่น้ำ และเห็นเรือลำหนึ่งกำลังแล่นผ่านมา เธอจึงรีบกระโดดขึ้นเรือและร้องขอความช่วยเหลือ
เจ้าของเรือเป็นชายหนุ่มชื่อ "พระยาสุริยวงศ์" พระยาสุริยวงศ์เป็นเจ้าชายจากเมืองไกลโพ้น เมื่อเห็นสังทองที่กำลังตกใจกลัว พระยาสุริยวงศ์ก็รีบช่วยเหลือเธอและพาเธอไปยังเมืองของตน
เมื่อถึงเมือง พระยาสุริยวงศ์ก็เล่าเรื่องราวของสังทองให้พระราชาฟัง พระราชาสงสารสังทองและอนุญาตให้เธออาศัยอยู่ในวัง
สังทองอาศัยอยู่ในวังอย่างมีความสุข เธอได้เรียนรู้มารยาทและความรู้ต่างๆ มากมาย จนกลายเป็นหญิงสาวที่ฉลาดและสง่างาม
ในขณะเดียวกัน ท้าวสามลก็ยังคงตามหาสังทองอยู่ ท้าวสามลโกรธมากที่สังทองหนีไปจากตน และสาบานว่าจะตามหาเธอจนเจอ
วันหนึ่ง ท้าวสามลก็ได้ข่าวว่าสังทองอาศัยอยู่ในเมืองของพระยาสุริยวงศ์ ท้าวสามลจึงรีบเดินทางไปยังเมืองนั้นและบุกเข้าไปในวัง
พระยาสุริยวงศ์และชาววังต่อสู้กับท้าวสามลอย่างกล้าหาญ แต่ท้าวสามลมีพละกำลังมหาศาล จนไม่มีใครสามารถต่อกรกับเขาได้
ในขณะที่ท้าวสามลกำลังจะจับตัวสังทองไป สังทองก็ใช้ปัญญาของเธอหลอกล่อท้าวสามลให้ตกหลุมพรางที่เธอขุดไว้ ท้าวสามลตกลงไปในหลุมและไม่สามารถขึ้นมาได้
พระยาสุริยวงศ์และชาววังจึงช่วยกันถมดินลงไปในหลุมจนท้าวสามลตายในที่สุด
หลังจากนั้น สังทองและพระยาสุริยวงศ์ก็ได้แต่งงานกันและครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดไป
-----
Q390
แต่งนิทานเรื่องพระสุธน มโนราห์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองสุธรรมาวดีอันรุ่งเรือง มีกษัตริย์หนุ่มรูปงามพระนามว่า พระสุธน พระองค์ทรงมีพระทัยโอบอ้อมอารีและเมตตาต่อปวงประชาราษฎร์ วันหนึ่ง ขณะที่พระองค์ทรงเสด็จประพาสป่า ก็ได้ยินเสียงดนตรีอันไพเราะแว่วมาจากต้นมะม่วงใหญ่
พระสุธนทรงเสด็จเข้าไปใกล้ต้นมะม่วง และทรงพบกับนางมโนราห์ นางกินรีสาวแสนสวยผู้มีเสียงอันไพเราะจับใจ พระองค์ทรงตกหลุมรักนางในทันที และนางมโนราห์ก็ทรงหลงใหลในความงามและความใจดีของพระสุธน
ทั้งสองพระองค์ทรงใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุขในป่า แต่แล้ววันหนึ่ง นางมโนราห์ต้องกลับไปยังเมืองกินรีตามคำสั่งของพระบิดา พระสุธนทรงโศกเศร้าเสียพระทัยเป็นอย่างมาก และทรงตัดสินพระทัยที่จะตามหานาง
พระสุธนทรงออกเดินทางไปยังเมืองกินรี และทรงพบกับอุปสรรคมากมายระหว่างทาง แต่ด้วยความรักและความมุ่งมั่น พระองค์ทรงฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านั้นมาได้ ในที่สุด พระสุธนก็ได้พบกับนางมโนราห์อีกครั้ง
นางมโนราห์ทรงดีพระทัยเป็นอย่างมากที่ได้พบกับพระสุธนอีกครั้ง ทั้งสองพระองค์ทรงแต่งงานกันและครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดไป
-----
Q391
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น