นิทานสัพเพเระ

แต่งนิทานเรื่องแม่ฮ่องสอน
ในหุบเขาอันลึกลับของจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งชื่อว่า "ปางอุ๋ง" ที่ซึ่งความงามของธรรมชาติและเรื่องราวลึกลับผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหญิงสาวแสนสวยนามว่า "อุ๋ง" อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ เธอมีดวงตาสีฟ้าใสราวกับน้ำทะเลสาบ และผมยาวสลวยดุจสายน้ำตก เธอเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านทุกคน

วันหนึ่ง ขณะที่อุ๋งกำลังเดินเล่นอยู่ในป่า เธอก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมาจากพุ่มไม้ข้างทาง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอจึงค่อยๆ เข้าไปดู และพบกับลูกเสือตัวน้อยที่กำลังร้องไห้อยู่

อุ๋งรู้สึกสงสารลูกเสือตัวนั้นมาก เธอจึงอุ้มมันกลับบ้านและเลี้ยงดูมันราวกับลูกของตัวเอง เธอตั้งชื่อมันว่า "ฮ่อง" และทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนซี้กันอย่างรวดเร็ว

วันเวลาผ่านไป ฮ่องเติบโตขึ้นเป็นเสือหนุ่มที่แข็งแรงและสง่างาม ชาวบ้านต่างก็ทึ่งในความผูกพันระหว่างอุ๋งและฮ่อง พวกเขาเชื่อว่าฮ่องเป็นเสือวิเศษที่คอยปกป้องหมู่บ้านจากอันตราย

คืนหนึ่ง ขณะที่ชาวบ้านกำลังนอนหลับอยู่ เกิดพายุฝนอย่างหนัก ลมพัดกระโชกแรงจนบ้านเรือนหลายหลังพังเสียหาย ทันใดนั้น ฮ่องก็ปรากฏตัวขึ้นและคำรามเสียงดัง

เสียงคำรามของฮ่องทำให้พายุสงบลงอย่างน่าอัศจรรย์ ชาวบ้านต่างก็รอดชีวิตจากพายุร้ายในครั้งนั้น พวกเขาเชื่อว่าฮ่องเป็นผู้พิทักษ์ของหมู่บ้าน และตั้งชื่อหมู่บ้านใหม่ว่า "ปางอุ๋ง" เพื่อเป็นเกียรติแก่หญิงสาวผู้ใจดีและเสือวิเศษของเธอ

ตั้งแต่นั้นมา เรื่องราวของอุ๋งและฮ่องก็กลายเป็นตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาในหมู่บ้านปางอุ๋ง และความผูกพันระหว่างมนุษย์และสัตว์ก็กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความเคารพในธรรมชาติของชาวแม่ฮ่องสอน
-----
Q394

แต่งนิทานเรื่องปิติขี่ม้ามีชื่อว่าเจ้านิล ไปหาวีระ
ในหุบเขาอันเขียวขจี มีเด็กสาวชื่อปิติผู้รักการขี่ม้าเป็นชีวิตจิตใจ เธอมีม้าคู่ใจสีดำสนิทชื่อเจ้านิลที่วิ่งได้ว่องไวราวสายลม

วันหนึ่ง ปิติได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับวีระ นักรบผู้กล้าหาญที่อาศัยอยู่ในปราสาทบนยอดเขา เธอจึงตัดสินใจขี่เจ้านิลไปหาวีระเพื่อขอคำแนะนำในการฝึกฝนทักษะการขี่ม้าของเธอ

ปิติและเจ้านิลเดินทางข้ามหุบเขาและป่าทึบเป็นเวลาหลายวัน จนกระทั่งในที่สุดก็มาถึงเชิงเขาที่ตั้งปราสาทของวีระ ปิติมองขึ้นไปบนยอดเขา เห็นปราสาทหินอันยิ่งใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก

เธอขี่เจ้านิลขึ้นไปตามทางคดเคี้ยวจนถึงประตูใหญ่ของปราสาท ปิติลงจากม้าและเคาะประตูอย่างสุภาพ

"ใครกันที่เคาะประตูของข้า" เสียงกึกก้องดังมาจากภายใน

"ข้าชื่อปิติ ข้ามาเพื่อขอคำแนะนำจากท่านวีระ" ปิติตอบ

ประตูเปิดออก และปิติก็ได้พบกับวีระ นักรบผู้สูงสง่าในชุดเกราะสีเงิน

"เข้ามาเถิด" วีระกล่าว "ข้าได้ยินเรื่องราวของเจ้าแล้ว เจ้าเป็นนักขี่ม้าที่เก่งกาจ"

ปิติเข้าไปในปราสาทและเล่าเรื่องราวของเธอให้วีระฟัง วีระฟังอย่างตั้งใจและยิ้มเมื่อเธอเล่าจบ

"เจ้ามีพรสวรรค์ในการขี่ม้า" วีระกล่าว "แต่เจ้ายังต้องฝึกฝนอีกมากเพื่อที่จะเป็นนักขี่ม้าที่แท้จริง"

วีระสอนปิติเกี่ยวกับเทคนิคการขี่ม้าขั้นสูง และแบ่งปันเคล็ดลับในการฝึกฝนเจ้านิลให้กลายเป็นม้าศึกที่สมบูรณ์แบบ

ปิติฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ภายใต้การแนะนำของวีระ ทักษะการขี่ม้าของเธอพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว เจ้านิลกลายเป็นม้าที่เชื่อฟังและว่องไว

ในที่สุด วันแห่งการทดสอบก็มาถึง วีระจัดการแข่งขันขี่ม้าเพื่อทดสอบความสามารถของปิติและเจ้านิล

ปิติและเจ้านิลเข้าร่วมการแข่งขันพร้อมกับนักขี่ม้าคนอื่นๆ อีกหลายคน การแข่งขันดุเดือด แต่ปิติและเจ้านิลก็สามารถเอาชนะคู่แข่งได้อย่างง่ายดาย

วีระประทับใจในความสามารถของปิติและเจ้านิลเป็นอย่างมาก เขาประกาศให้ปิติเป็นนักขี่ม้าที่เก่งกาจที่สุดในหุบเขา

ปิติและเจ้านิลกลับไปที่บ้านของพวกเขาด้วยความภาคภูมิใจ ปิติได้กลายเป็นนักขี่ม้าที่แท้จริง และเจ้านิลก็ได้กลายเป็นม้าศึกที่สมบูรณ์แบบ

ตั้งแต่นั้นมา ปิติและเจ้านิลก็ได้ออกเดินทางไปผจญภัยด้วยกัน พวกเขาช่วยเหลือผู้คนในยามยาก และปกป้องหุบเขาจากอันตราย

และเรื่องราวของปิติและเจ้านิลก็ได้กลายเป็นตำนานที่เล่าขานกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
-----
Q395

แต่งนิทานเรื่องเด็กชายปิติขี่ม้ามีชื่อว่าเจ้านิลไปโรงเรียน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กชายคนหนึ่งชื่อปิติ เขาอาศัยอยู่ในชนบทที่เงียบสงบพร้อมกับครอบครัวของเขา ปิติเป็นเด็กที่ขยันและฉลาด แต่สิ่งที่เขาชอบที่สุดคือการขี่ม้า

วันหนึ่ง พ่อของปิติได้ซื้อม้าตัวหนึ่งให้เขาเป็นของขวัญวันเกิด ปิติตั้งชื่อม้าตัวนั้นว่า "เจ้านิล" เจ้านิลเป็นม้าที่แข็งแรงและฉลาด ปิติกับเจ้านิลกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน พวกเขาใช้เวลาร่วมกันมากมายในการขี่ม้าไปรอบๆ ชนบท

เมื่อถึงเวลาที่ปิติต้องไปโรงเรียน เขาก็ตื่นเต้นมาก แต่ก็กังวลเล็กน้อยว่าจะไปโรงเรียนอย่างไร เพราะโรงเรียนอยู่ไกลจากบ้านมาก พ่อของปิติบอกเขาว่า "ไม่ต้องกังวล ปิติ เจ้านิลจะพาเจ้าไปโรงเรียนได้"

ปิติดีใจมาก เขาขี่เจ้านิลไปโรงเรียนทุกวัน เจ้านิลเป็นม้าที่เชื่อฟังและพาปิติไปโรงเรียนได้อย่างปลอดภัยเสมอ เพื่อนๆ ของปิติต่างก็ทึ่งในเจ้านิล และพวกเขาก็อยากขี่ม้าตัวนี้ด้วย

วันหนึ่ง ขณะที่ปิติกำลังขี่เจ้านิลกลับบ้านจากโรงเรียน พวกเขาเห็นเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังรังแกเด็กชายตัวเล็กๆ ปิติโกรธมาก เขาขี่เจ้านิลเข้าไปหาเด็กกลุ่มนั้นและบอกให้พวกเขาหยุดรังแกเด็กชายคนนั้น

เด็กกลุ่มนั้นตกใจที่เห็นปิติและเจ้านิล พวกเขาหยุดรังแกเด็กชายคนนั้นและวิ่งหนีไป ปิติรู้สึกภูมิใจในตัวเองและเจ้านิลที่ช่วยเด็กชายคนนั้นได้

ปิติกับเจ้านิลยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน พวกเขาขี่ม้าไปโรงเรียนด้วยกันทุกวัน และช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเสมอ
-----
Q396

แต่งนิทานเรื่องเด็กหญิงมานีหลังเลิกเรียนช่วยแม่ทำงานบ้าน
ในยามบ่ายที่แดดร่มลมตก เด็กหญิงมานีเดินกลับบ้านจากโรงเรียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เธอรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ช่วยแม่ทำงานบ้าน

เมื่อมานีเปิดประตูบ้าน เธอก็เห็นแม่กำลังยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์ในครัว กำลังเตรียมอาหารเย็น มานีรีบวิ่งเข้าไปหาแม่และถามว่า "แม่จ๋า มานีช่วยแม่ทำอะไรได้บ้างคะ?"

แม่ของมานีหันมายิ้มให้เธอและตอบว่า "มานีลูก แม่ดีใจมากเลยที่หนูอยากช่วย แม่กำลังจะกวาดพื้นอยู่พอดีเลย"

มานีรับไม้กวาดจากแม่และเริ่มกวาดพื้นอย่างขยันขันแข็ง เธอตั้งใจกวาดทุกซอกทุกมุมจนพื้นสะอาดเอี่ยมอ่อง

เมื่อกวาดพื้นเสร็จแล้ว มานีก็ไปช่วยแม่ล้างจาน เธอเปิดน้ำและหยิบจานที่แม่ล้างไปแล้วมาเช็ดให้แห้งอย่างระมัดระวัง

หลังจากที่ล้างจานเสร็จแล้ว มานีก็ไปช่วยแม่จัดโต๊ะอาหาร เธอวางจาน ช้อน ส้อม และแก้วไว้บนโต๊ะอย่างเรียบร้อย

เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว มานีและแม่ก็ได้นั่งทานอาหารเย็นด้วยกันอย่างมีความสุข มานีรู้สึกภูมิใจในตัวเองที่ได้ช่วยแม่ทำงานบ้าน และแม่ของเธอก็รู้สึกซาบซึ้งใจที่ลูกสาวของเธอเป็นเด็กที่ขยันและมีน้ำใจ
-----
Q397

นิทานเรื่องน้องแพรชวน น้องแพรวาฟังนิทานไปนิทานเรื่องปลาบู่ทอง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพี่น้องฝาแฝดชื่อแพรชวนและแพรวา แพรชวนเป็นพี่สาว ส่วนแพรวาเป็นน้องสาว ทั้งสองคนรักและสนิทสนมกันมาก วันหนึ่ง แพรชวนชวนแพรวาไปนั่งเล่นที่ริมสระน้ำหลังบ้าน ขณะที่นั่งเล่นอยู่นั้น แพรชวนก็เล่านิทานเรื่องปลาบู่ทองให้แพรวาฟัง

"กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายยากจนคนหนึ่งอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆ ริมแม่น้ำ วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังหาปลา เขาก็ได้ยินเสียงร้องของปลาตัวหนึ่ง เขารีบวิ่งไปดูและพบปลาบู่ทองตัวหนึ่งติดอยู่ในอวน เขาจึงช่วยปลาบู่ทองออกมาและปล่อยมันกลับลงสู่แม่น้ำ"

"เพื่อเป็นการขอบคุณ ปลาบู่ทองจึงให้พรแก่ชายยากจนว่า "ถ้าเจ้าต้องการสิ่งใด จงอธิษฐานเถิด ข้าจะทำให้เจ้าสมปรารถนา" ชายยากจนดีใจมาก เขาจึงอธิษฐานขอให้ตนเองร่ำรวย และในทันใดนั้น เขาก็กลายเป็นเศรษฐี"

"แต่ความโลภของชายยากจนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขาอธิษฐานขอสิ่งต่างๆ มากมาย จนกระทั่งปลาบู่ทองโกรธและหนีหายไป ชายยากจนจึงกลับมายากจนเหมือนเดิม"

แพรวาฟังนิทานจบก็รู้สึกชอบใจมาก เธอจึงขอให้แพรชวนเล่านิทานเรื่องอื่นๆ ให้ฟังอีก แพรชวนก็เล่านิทานเรื่องกระต่ายกับเต่า เรื่องสิงโตกับหนู และเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย แพรวาฟังนิทานของแพรชวนอย่างตั้งใจ และได้เรียนรู้บทเรียนที่มีค่ามากมายจากนิทานเหล่านั้น
-----
Q398

นิทานเรื่องน้องมะนาวชวน น้องมะปรางไปฟังอ้ายจำเรียนอ่านนิทานไปนิทานเรื่องเจ้าหญิงราพันแชในไร่อ้อย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีน้องสาวสองคนชื่อน้องมะนาวและน้องมะปราง ทั้งสองอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง น้องมะนาวเป็นเด็กสาวที่ขยันและฉลาด ส่วนน้องมะปรางเป็นเด็กสาวที่ขี้เกียจและเอาแต่ใจ

วันหนึ่ง ขณะที่น้องมะนาวกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นมะม่วง น้องมะปรางก็วิ่งเข้ามาหาด้วยใบหน้าตื่นเต้น

"พี่มะนาว พี่มะนาว" น้องมะปรางร้องลั่น "อ้ายจำเรียนจะมาอ่านนิทานให้ฟังที่ไร่อ้อย"

"อ้าว จริงเหรอ" น้องมะนาวถามด้วยความดีใจ "แล้วนิทานเรื่องอะไรล่ะ"

"เรื่องเจ้าหญิงราพันเซลในไร่อ้อย" น้องมะปรางตอบ

น้องมะนาวและน้องมะปรางรีบวิ่งไปที่ไร่อ้อยทันที เมื่อไปถึงก็เห็นอ้ายจำเรียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ใต้ต้นอ้อยใหญ่ อ้ายจำเรียนเป็นชายหนุ่มรูปงามและมีน้ำเสียงไพเราะ

"สวัสดีครับน้องๆ" อ้ายจำเรียนกล่าวทักทาย "วันนี้พี่จะมาเล่านิทานให้ฟัง เรื่องเจ้าหญิงราพันเซลในไร่อ้อย"

น้องมะนาวและน้องมะปรางนั่งฟังนิทานด้วยความตั้งใจ อ้ายจำเรียนเล่าเรื่องราวของเจ้าหญิงราพันเซลผู้มีผมยาวสลวยที่อาศัยอยู่ในหอคอยสูง พร้อมกับร้องเพลงประกอบไปด้วย

เมื่อนิทานจบลง น้องมะนาวและน้องมะปรางก็ปรบมือให้กับอ้ายจำเรียนอย่างสนุกสนาน

"ขอบคุณครับพี่จำเรียน" น้องมะนาวกล่าว "นิทานสนุกมากเลยค่ะ"

"ขอบคุณครับ" อ้ายจำเรียนกล่าว "พี่ดีใจที่น้องๆ ชอบ"

หลังจากนั้น น้องมะนาวและน้องมะปรางก็กลับบ้านด้วยความสุขใจ น้องมะนาวคิดว่าเธอจะขยันอ่านหนังสือต่อไปเพื่อให้มีความรู้มากมายเหมือนอ้ายจำเรียน ส่วนน้องมะปรางก็คิดว่าเธอจะเลิกขี้เกียจและเอาแต่ใจเพื่อที่จะได้เป็นเด็กสาวที่ดีเหมือนพี่สาวของเธอ
-----
Q399

นิทานเรื่องน้องแพรชวน น้องแพรวาไปฟังอ้ายจำเรียนอ่านนิทานเรื่องไกรทอง ที่ไร่ป่ากล้วย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพี่น้องฝาแฝดชื่อแพรชวนและแพรวา ทั้งสองอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง แพรชวนเป็นเด็กสาวที่ขยันและฉลาด ส่วนแพรวาเป็นเด็กสาวที่ขี้เกียจและเอาแต่ใจ

วันหนึ่ง ขณะที่แพรชวนกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นมะม่วง แพรวาก็วิ่งเข้ามาหาด้วยใบหน้าตื่นเต้น

"พี่แพรชวน พี่แพรชวน" แพรวาร้องลั่น "อ้ายจำเรียนจะมาอ่านนิทานให้ฟังที่ไร่ป่ากล้วย"

"อ้าว จริงเหรอ" แพรชวนถามด้วยความดีใจ "แล้วนิทานเรื่องอะไรล่ะ"

"เรื่องไกรทอง" แพรวตอบ

แพรชวนและแพรวารีบวิ่งไปที่ไร่ป่ากล้วยทันที เมื่อไปถึงก็เห็นอ้ายจำเรียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ใต้ต้นกล้วยใหญ่ อ้ายจำเรียนเป็นชายหนุ่มรูปงามและมีน้ำเสียงไพเราะ

"สวัสดีครับน้องๆ" อ้ายจำเรียนกล่าวทักทาย "วันนี้พี่จะมาเล่านิทานให้ฟัง เรื่องไกรทอง"

แพรชวนและแพรวานั่งฟังนิทานด้วยความตั้งใจ อ้ายจำเรียนเล่าเรื่องราวของไกรทองผู้กล้าหาญที่ออกเดินทางไปปราบยักษ์เพื่อช่วยนางสุวรรณมาลา พร้อมกับร้องเพลงประกอบไปด้วย

เมื่อนิทานจบลง แพรชวนและแพรวาก็ปรบมือให้กับอ้ายจำเรียนอย่างสนุกสนาน

"ขอบคุณครับพี่จำเรียน" แพรชวนกล่าว "นิทานสนุกมากเลยค่ะ"

"ขอบคุณครับ" อ้ายจำเรียนกล่าว "พี่ดีใจที่น้องๆ ชอบ"

หลังจากนั้น แพรชวนและแพรวาก็กลับบ้านด้วยความสุขใจ แพรชวนคิดว่าเธอจะขยันอ่านหนังสือต่อไปเพื่อให้มีความรู้มากมายเหมือนอ้ายจำเรียน ส่วนแพรวาก็คิดว่าเธอจะเลิกขี้เกียจและเอาแต่ใจเพื่อที่จะได้เป็นเด็กสาวที่ดีเหมือนพี่สาวของเธอ
-----
Q400

นิทานเรื่องน้องมานีชวน ชูใจไปฟังอ้ายจำเรียนอ่านนิทานเรื่องสังข์ทองที่ไร่ป่ากล้วย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพี่น้องสองคนชื่อน้องมานีและชูใจ ทั้งสองอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง น้องมานีเป็นเด็กสาวที่ขยันและฉลาด ส่วนชูใจเป็นเด็กสาวที่ขี้เกียจและเอาแต่ใจ

วันหนึ่ง ขณะที่น้องมานีกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นมะม่วง ชูใจก็วิ่งเข้ามาหาด้วยใบหน้าตื่นเต้น

"พี่มานี พี่มานี" ชูใจร้องลั่น "อ้ายจำเรียนจะมาอ่านนิทานให้ฟังที่ไร่ป่ากล้วย"

"อ้าว จริงเหรอ" น้องมานีถามด้วยความดีใจ "แล้วนิทานเรื่องอะไรล่ะ"

"เรื่องสังข์ทอง" ชูใจตอบ

น้องมานีและชูใจรีบวิ่งไปที่ไร่ป่ากล้วยทันที เมื่อไปถึงก็เห็นอ้ายจำเรียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ใต้ต้นกล้วยใหญ่ อ้ายจำเรียนเป็นชายหนุ่มรูปงามและมีน้ำเสียงไพเราะ

"สวัสดีครับน้องๆ" อ้ายจำเรียนกล่าวทักทาย "วันนี้พี่จะมาเล่านิทานให้ฟัง เรื่องสังข์ทอง"

น้องมานีและชูใจนั่งฟังนิทานด้วยความตั้งใจ อ้ายจำเรียนเล่าเรื่องราวของสังข์ทองผู้กล้าหาญที่ออกเดินทางไปปราบยักษ์เพื่อช่วยนางรจนา พร้อมกับร้องเพลงประกอบไปด้วย

เมื่อนิทานจบลง น้องมานีและชูใจก็ปรบมือให้กับอ้ายจำเรียนอย่างสนุกสนาน

"ขอบคุณครับพี่จำเรียน" น้องมานีกล่าว "นิทานสนุกมากเลยค่ะ"

"ขอบคุณครับ" อ้ายจำเรียนกล่าว "พี่ดีใจที่น้องๆ ชอบ"

หลังจากนั้น น้องมานีและชูใจก็กลับบ้านด้วยความสุขใจ น้องมานีคิดว่าเธอจะขยันอ่านหนังสือต่อไปเพื่อให้มีความรู้มากมายเหมือนอ้ายจำเรียน ส่วนชูใจก็คิดว่าเธอจะเลิกขี้เกียจและเอาแต่ใจเพื่อที่จะได้เป็นเด็กสาวที่ดีเหมือนพี่สาวของเธอ
-----
Q401

นิทานเรื่องน้องมานีชวน ชูใจไปฟังอ้ายจำเรียนอ่านนิทานเรื่องสังข์ทองที่ไร่ป่ากล้วย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพี่น้องสองคนชื่อน้องมานีและชูใจ ทั้งสองอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง น้องมานีเป็นเด็กสาวที่ขยันและฉลาด ส่วนชูใจเป็นเด็กสาวที่ขี้เกียจและเอาแต่ใจ

วันหนึ่ง ขณะที่น้องมานีกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นมะม่วง ชูใจก็วิ่งเข้ามาหาด้วยใบหน้าตื่นเต้น

"พี่มานี พี่มานี" ชูใจร้องลั่น "อ้ายจำเรียนจะมาอ่านนิทานให้ฟังที่ไร่ป่ากล้วย"

"อ้าว จริงเหรอ" น้องมานีถามด้วยความดีใจ "แล้วนิทานเรื่องอะไรล่ะ"

"เรื่องสังข์ทอง" ชูใจตอบ

น้องมานีและชูใจรีบวิ่งไปที่ไร่ป่ากล้วยทันที เมื่อไปถึงก็เห็นอ้ายจำเรียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ใต้ต้นกล้วยใหญ่ อ้ายจำเรียนเป็นชายหนุ่มรูปงามและมีน้ำเสียงไพเราะ

"สวัสดีครับน้องๆ" อ้ายจำเรียนกล่าวทักทาย "วันนี้พี่จะมาเล่านิทานให้ฟัง เรื่องสังข์ทอง"

น้องมานีและชูใจนั่งฟังนิทานด้วยความตั้งใจ อ้ายจำเรียนเล่าเรื่องราวของสังข์ทองผู้กล้าหาญที่ออกเดินทางไปปราบยักษ์เพื่อช่วยนางรจนา พร้อมกับร้องเพลงประกอบไปด้วย

เมื่อนิทานจบลง น้องมานีและชูใจก็ปรบมือให้กับอ้ายจำเรียนอย่างสนุกสนาน

"ขอบคุณครับพี่จำเรียน" น้องมานีกล่าว "นิทานสนุกมากเลยค่ะ"

"ขอบคุณครับ" อ้ายจำเรียนกล่าว "พี่ดีใจที่น้องๆ ชอบ"

หลังจากนั้น น้องมานีและชูใจก็กลับบ้านด้วยความสุขใจ น้องมานีคิดว่าเธอจะขยันอ่านหนังสือต่อไปเพื่อให้มีความรู้มากมายเหมือนอ้ายจำเรียน ส่วนชูใจก็คิดว่าเธอจะเลิกขี้เกียจและเอาแต่ใจเพื่อที่จะได้เป็นเด็กสาวที่ดีเหมือนพี่สาวของเธอ
-----
Q401

นิทานเรื่องน้องมานีชวน น้องปิติ มานะ ชูใจ ดวงแก้ว วีระ สมคิด เพชรไปฟังอ้ายจำเรียนอ่านนิทานอีสปที่บ้านอ้ายจำเรียน

นิทานเจ้าหญิงซินเดอเรลล่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในดินแดนอันไกลโพ้น มีหญิงสาวแสนงดงามนามว่าซินเดอเรลล่า นางอาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงใจร้ายและลูกเลี้ยงอีกสองคนของนาง ซินเดอเรลล่าถูกใช้งานอย่างหนักหน่วง นางต้องทำงานบ้านทั้งวันทั้งคืน และถูกบังคับให้นอนบนพื้นห้องใต้หลังคาที่หนาวเย็น

วันหนึ่ง มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วราชอาณาจักรว่า เจ้าชายจะจัดงานเต้นรำเพื่อหาเจ้าสาว ซินเดอเรลล่ามีความหวังว่านางจะได้ไปงานเต้นรำ แต่แม่เลี้ยงใจร้ายของนางไม่ยอมให้นางไป นางทำลายชุดสวยของซินเดอเรลล่าและห้ามไม่ให้นางออกจากบ้าน

แต่แล้วก็มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น นางฟ้าแม่ทูนหัวปรากฏตัวขึ้น นางใช้เวทมนตร์เปลี่ยนฟักทองให้กลายเป็นรถม้า หนูให้กลายเป็นม้า และหนูอีกสี่ตัวให้กลายเป็นคนขับรถ นางยังเปลี่ยนชุดเก่าๆ ของซินเดอเรลล่าให้กลายเป็นชุดราตรีที่งดงาม และมอบรองเท้าแก้วให้กับนาง

นางฟ้าแม่ทูนหัวเตือนซินเดอเรลล่าว่า เวทมนตร์จะเสื่อมลงเมื่อถึงเที่ยงคืน ซินเดอเรลล่าไปถึงงานเต้นรำและเต้นรำกับเจ้าชาย เจ้าชายตกหลุมรักนางในทันที แต่เมื่อนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน ซินเดอเรลล่าก็ต้องรีบหนีออกจากงานเต้นรำ นางทำรองเท้าแก้วข้างหนึ่งหล่นไว้

เจ้าชายพบรองเท้าแก้วและตามหารองเท้าอีกข้างทั่วทั้งราชอาณาจักร ในที่สุดเจ้าชายก็พบซินเดอเรลล่าและรองเท้าก็พอดีกับเท้าของนาง เจ้าชายและซินเดอเรลล่าแต่งงานกันและครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดไป
-----
Q403

นิทานเจ้าชายกบ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเจ้าหญิงสาวผู้สูงศักดิ์อาศัยอยู่ในปราสาทอันโอ่อ่าริมทะเลสาบอันกว้างใหญ่ วันหนึ่ง ขณะที่เจ้าหญิงกำลังนั่งเล่นอยู่ริมหน้าต่าง เธอก็ทำลูกบอลทองคำอันเป็นที่รักของเธอหล่นลงไปในน้ำ เจ้าหญิงเศร้าโศกเสียใจมากเพราะนั่นเป็นของขวัญจากพระราชบิดาของเธอ

ขณะที่เจ้าหญิงกำลังร้องไห้ เจ้ากบตัวหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำและพูดว่า "อย่าร้องไห้เลยเจ้าหญิง ฉันจะช่วยเจ้ากู้ลูกบอลคืนมาให้" เจ้าหญิงประหลาดใจมากที่ได้ยินกบพูดได้ เธอจึงถามว่า "เจ้าจะช่วยข้าได้อย่างไร เจ้ากบ"

เจ้ากบตอบว่า "ข้าจะกู้ลูกบอลคืนมาให้เจ้า แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าว่าเจ้าจะพาข้าไปที่ปราสาทของเจ้าและแบ่งปันอาหารและเตียงนอนกับข้า" เจ้าหญิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ด้วยความสิ้นหวัง เธอจึงตกลง

เจ้ากบกระโดดลงไปในน้ำและไม่นานก็กลับขึ้นมาพร้อมกับลูกบอลทองคำในปาก เจ้าหญิงดีใจมากและรีบรับลูกบอลคืนมาจากเจ้ากบ แต่เธอก็ลืมสัญญาที่ให้ไว้

เจ้ากบตามเจ้าหญิงไปที่ปราสาทและเตือนเธอถึงสัญญา แต่เจ้าหญิงไม่สนใจและไล่เจ้ากบออกไป เจ้ากบโกรธมากและเสกเจ้าหญิงให้กลายเป็นกบเหมือนตน

เจ้าหญิงกบเศร้าโศกเสียใจมาก เธอออกจากปราสาทและเดินทางไปยังป่าลึกเพื่อซ่อนตัว เจ้าหญิงกบอาศัยอยู่ในป่าเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าชายหนุ่มหล่อขี่ม้าผ่านมาและพบเธอ

เจ้าชายรู้สึกสงสารเจ้าหญิงกบและพาเธอกลับไปที่ปราสาทของเขา เจ้าชายปฏิบัติต่อเจ้าหญิงกบด้วยความเมตตาและความเคารพ และในที่สุด เจ้าหญิงกบก็ตกหลุมรักเจ้าชาย

วันหนึ่ง เจ้าชายจูบเจ้าหญิงกบ และทันใดนั้น เสน่ห์ก็ถูกทำลาย เจ้าหญิงกบกลับกลายเป็นเจ้าหญิงสาวที่สวยงามอีกครั้ง เจ้าชายและเจ้าหญิงแต่งงานกันและครองชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป
-----
Q404

นิทานเรื่องท้าวก่ำกาดำ
นิทานเรื่องท้าวก่ำกาดำเป็นนิทานพื้นบ้านที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับคนมีบุญแต่เกิดมาอาภัพ โดยท้าวก่ำมีรูปร่างอัปลักษณ์เป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป แม้กระทั่งมารดาของตนเองก็เกลียดชัง จึงเอาไปลอยแพล่องน้ำ พระอินทร์บนสวรรค์มีความสงสารจึงเนรมิตส่งกาดำลงมาเป็นแม่นม คอยเลี้ยงดูจนเติบใหญ่.

นิทานนี้มีการนำเสนอในรูปแบบต่างๆ เช่น ในรูปแบบ 3D โดยมีการเผยแพร่ผ่านยูทูบและได้รับความนิยมจากผู้ชมจำนวนมาก. นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่ในรูปแบบเอกสารเช่นในเอกสารของกรมศิลปากรที่เผยแพร่ในรูปแบบ PDF.

แต่งนิทานเรื่องท้าวก่ำกาดำตามหาพ่อแม่ที่แท้จริง
ในดินแดนอันไกลโพ้น มีทารกน้อยนอนอยู่ในเปลสีทองอร่าม ทารกน้อยมีผิวสีดำขลับราวกับถ่าน จนผู้คนขนานนามว่า "ท้าวก่ำกาดำ"

เมื่อท้าวก่ำกาดำเติบโตขึ้น เขาก็รู้ตัวว่าตนเองแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน เขาถูกเยาะเย้ยและรังเกียจเพราะสีผิวของเขา

วันหนึ่ง ท้าวก่ำกาดำตัดสินใจออกเดินทางตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงของเขา เขาเชื่อว่าพ่อแม่ของเขาต้องเป็นคนพิเศษที่มีผิวสีดำเหมือนเขา

การเดินทางของท้าวก่ำกาดำเต็มไปด้วยความยากลำบาก เขาต้องฝ่าฟันป่าทึบ ข้ามภูเขาสูง และเผชิญกับสัตว์ร้ายมากมาย

ระหว่างทาง ท้าวก่ำกาดำได้พบกับหญิงชราใจดีที่บอกให้เขาไปที่ "ดินแดนแห่งความมืด" ซึ่งเป็นที่ที่พ่อแม่ของเขาอาศัยอยู่

ท้าวก่ำกาดำเดินทางต่อไปจนถึงดินแดนแห่งความมืด เขาพบว่าดินแดนแห่งนี้ปกครองโดยกษัตริย์และราชินีที่มีผิวสีดำเหมือนเขา

กษัตริย์และราชินีต้อนรับท้าวก่ำกาดำด้วยความรักและความยินดี พวกเขาบอกกับเขาว่าพวกเขาคือพ่อแม่ที่แท้จริงของเขา และได้พลัดพรากจากกันตั้งแต่เขายังเป็นทารก

ท้าวก่ำกาดำมีความสุขมากที่ได้พบกับพ่อแม่ที่แท้จริงของเขา ในที่สุดเขาก็ได้รู้จักบ้านที่แท้จริงของเขา และไม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป
-----
Q406


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม