มงคลที่31-35
มงคลที่31 บำเพ็ญตบะ
นิทานเรื่องอ้ายจำเรียนบำเพ็ญตบะถือศีล๘
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มชื่อจำเรียน อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง เขาเป็นคนขยันและซื่อสัตย์ แต่ยากจนมาก วันหนึ่ง เขาตัดสินใจออกจากหมู่บ้านเพื่อไปแสวงหาโชคลาภ
จำเรียนเดินทางไปหลายวันจนกระทั่งมาถึงป่าลึกแห่งหนึ่ง เขาพบฤๅษีชราผู้หนึ่งนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ จำเรียนเข้าไปกราบท่านและขอเป็นศิษย์ ฤๅษีรับจำเรียนเป็นศิษย์และสอนวิชาต่างๆ ให้
จำเรียนเรียนรู้วิชาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และในไม่ช้าก็กลายเป็นผู้มีวิชาอาคมแก่กล้า ฤๅษีจึงสั่งให้จำเรียนออกไปบำเพ็ญตบะถือศีล 8 ในป่าลึก
จำเรียนออกเดินทางไปยังป่าลึกและสร้างกระท่อมเล็กๆ เพื่ออาศัย เขาถือศีล 8 อย่างเคร่งครัดและบำเพ็ญตบะอย่างหนักหน่วง วันหนึ่ง ขณะที่จำเรียนกำลังนั่งสมาธิอยู่ เขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้
จำเรียนลืมตาขึ้นและมองไปรอบๆ เขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ จำเรียนเข้าไปหาหญิงสาวและถามว่าเกิดอะไรขึ้น
หญิงสาวเล่าให้จำเรียนฟังว่า เธอชื่อบัว และเธอถูกโจรจับตัวมาเพื่อขายเป็นทาส จำเรียนสงสารบัว จึงใช้เวทมนตร์ช่วยเธอหนีจากโจร
จำเรียนและบัวเดินทางกลับหมู่บ้านด้วยกัน และในไม่ช้าก็แต่งงานกัน พวกเขามีชีวิตที่สุขสบายและมีลูกหลายคน จำเรียนใช้วิชาอาคมของตนช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้าน และเป็นที่เคารพนับถือของทุกคน
๓๑.การบำเพ็ญตบะ
ตบะ โดยความหมายแปลว่า ทำให้ร้อน ไม่ว่าด้วยวิธีใด การบำเพ็ญตบะหมายความถึงการทำให้กิเลส ความรุ่มร้อนต่างๆ หมดไป หรือเบาบางลง ลักษณะการบำเพ็ญตบะมีดังนี้
๑.การมีใจสำรวมในอินทรีย์ทั้ง ๖ (อายตนะภายใน ๖ อย่าง) ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ไม่ให้หลงติดอยู่กับสัมผัสภายนอกมากเกินไป ไม่ให้กิเลสครอบงำใจเวลาที่รับรู้อารมณ์ผ่านอินทรีย์ทั้ง ๖ (อินทรีย์สังวร)
๒.การประพฤติรักษาพรหมจรรย์ เว้นจากการร่วมประเวณี หรือกามกิจทั้งปวง
๓.การปฏิบัติธรรม คือการรู้และเข้าใจในหลักธรรมเช่นอริยสัจ เป็นต้น ปฏิบัติตนให้อยู่ในศีล และถึงพร้อมด้วยสมาธิ และปัญญา โดยมีจุดหมายสูงสุดที่พระนิพพาน กำจัดกิเลส ละวางทุกสิ่งได้หมดสิ้นด้วยปัญญา
มงคลที่32 การประพฤติพรหมจรรย์
นิทานเรื่องเทพบุตร
พระมหาโมคคัลลานะเที่ยวจาริกไปในเทวโลก ท่านได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เห็นเทพบุตรองค์หนึ่งมีรัศมีกายสว่างไสวเป็นพิเศษ จึงถามว่า "การที่ท่านเทพบุตรแวดล้อมไปด้วยเทพอัปสร มีวิมานที่สว่างไสวเป็นที่ระงับความกระวนกระวายและความโศก บันเทิงอยู่ดุจท้าวสุนิมมิตเทวราช ที่ไม่มีใครเสมอเหมือน หมู่ทวยเทพชั้นไตรทศทั้งหมดชุมนุมกันแล้วไหว้ท่าน ดุจเทพเจ้าที่มนุษย์ทั้งหลายกราบไหว้ และเทพอัปสรเหล่านี้ต่างฟ้อนรำขับร้องทำความบันเทิงใจอยู่รอบๆท่าน ท่านเป็นผู้บรรลุเทวฤทธิ์ มีอานุภาพมาก ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะบุญกรรมอะไร ท่านจึงเป็นผู้มีอานุภาพรุ่งเรืองเช่นนี้"
เทพบุตรได้เล่าบุพกรรมของตนให้พระเถระฟังว่า "ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ นับถอยหลังจากนี้ไป ๓๐,๐๐๐กัป เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นสาวกของพระสุเมธพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเคยบวชประพฤติพรหมจรรย์อยู่ ๗พรรษา พยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ และเจริญสมาธิทำความเพียรไม่เคยขาด แต่ยังเป็นเพียงสมมติสงฆ์ เมื่อครบ ๗พรรษาแล้ว กิเลสในตัวฟุ้งขึ้น ทำให้จิตใจหวั่นไหว ไม่ยินดีที่จะประพฤติพรหมจรรย์ต่อไป และเนื่องจากขาดกัลยาณมิตร จึงได้ลาสิกขาไป
เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ข้าพเจ้าได้ไหว้รัตนเจดีย์ที่คลุมด้วยข่ายทอง ทำจิตให้เลื่อมใสในพระเจดีย์ ข้าพเจ้ามิได้ให้ทาน เพราะไม่มีวัตถุทานที่จะให้ แต่ข้าพเจ้าได้ชักชวนคนอื่นๆว่า "ท่านทั้งหลายจงบูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าเถิด เพราะการได้บูชาพระพุทธเจ้า จะเป็นเหตุให้ได้ไปสวรรค์" ข้าพเจ้าชักชวนคนทำความดีอยู่อย่างนี้จนตลอดชีวิต ด้วยกุศลผลบุญนั้น จึงได้เสวยสุขอันเป็นทิพย์ และบันเทิงอยู่ในท่ามกลางหมู่เทพชั้นไตรทศ
ด้วยอานิสงส์ที่ข้าพเจ้าตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์ แม้เป็นช่วงสั้นๆเพียง ๗ปี ทำให้ข้าพเจ้าเป็นเทพบุตรผู้มีศักดิ์ใหญ่ มีอานุภาพมาก เป็นผู้ที่เทวดาทั้งหลายมีท้าวสักกะ เป็นต้น สักการบูชา ดำรงอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์จนหมดอายุขัย ครั้นจุติจากดาวดึงส์ก็ท่องเที่ยวไปๆมาๆ อยู่ในระหว่างเทวโลกและมนุษยโลก แม้ในยุคสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน บุญนั้นก็ยังตามส่งผลให้ข้าพเจ้าได้บังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีก เหล่าทวยเทพทั้งหลายต่างรู้จักข้าพเจ้าว่า อเนกวรรณเทพบุตร คือ เทพบุตรผู้มีวรรณะเกินกว่าจะบรรยาย"
จากเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่า เพียงตัดสินใจออกบวชเพื่อประพฤติพรหมจรรย์แค่ไม่กี่ปี ยังเป็นเหตุให้ท่านได้ทิพยสมบัติมากมาย และได้ครอบครองยาวนานถึงเพียงนี้ การประพฤติพรหมจรรย์ คือ การประพฤติอันประเสริฐ ไม่ใช่ต้องออกบวชเพียงอย่างเดียวเท่านั้น พรหมจรรย์มีอยู่หลายระดับด้วยกัน แล้วแต่ใครจะสะดวกประพฤติพรหมจรรย์ในระดับไหน ตั้งแต่พรหมจรรย์ขั้นต้นสำหรับผู้ครองเรือน ก็ให้พอใจเฉพาะคู่ครองของตนเท่านั้น ไม่ให้นอกใจภรรยาหรือสามี มีศีล๕ เป็นปกติ
๓๒.การประพฤติพรหมจรรย์
คำว่าพรหมจรรย์หมายความถึง การบวชซึ่งละเว้นเมถุน การครองชีวิตที่ปราศจากเมถุน การประพฤติธรรมอันประเสริฐ ท่านว่าลักษณะของธรรมที่ถือว่าเป็นการประพฤติพรหมจรรย์นั้น (ไม่ใช่ว่าต้องบวชเป็นพระ) มีอยู่ดังนี้คือ
๑.ให้ทาน บริจาคทานไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง หรือปัญญา
๒.ช่วยเหลือผู้อื่นในกิจการงานที่ชอบ ที่ถูกที่ควร (เวยยาวัจจมัย)
๓.รักษาศีล ๕ คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่ทำผิดในกาม ไม่พูดปด ไม่ดื่มน้ำเมา (เบญจศีล)
๔.มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขากับคนที่เราต้องพบปะด้วยทุกคน (อัปปมัญญา)
๕.งดเว้นจากการเสพกาม (เมถุนวิรัติ)
๖.ยินดีในคู่ของตน คือการมีสามีหรือภรรยาคนเดียว (สทารสันโดษ)
๗.เพียรพยายามที่จะละความชั่ว ไม่ท้อถอยในความบากบั่น (วิริยะ)
๘.รักษาซึ่งศีล ๘ คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่ร่วมประเวณี ไม่พูดปด ไม่ดื่มน้ำเมา ไม่บริโภคอาหารตั้งแต่เที่ยงวันเป็นต้นไป ไม่ฟ้อนรำ ขับร้อง บรรเลงดนตรี ดูการละเล่น ใช้ของหอมหรือเครื่องประดับ ไม่นอนบนที่สูงใหญ่ หรูหรา (อุโบสถ)
๙.ใช้ปัญญาเห็นแจ้งใน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค (อริยธรรม)
๑๐.ศึกษาปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ให้รู้แจ้งเห็นจริง (สิกขา)
*ขออธิบายเพิ่มเติมว่าข้อ ๕ ที่บอกว่าให้งดเว้นการเสพกาม แต่ข้อ ๖ ให้ยินดีในคู่ของตนนั้น เพราะว่าการประพฤติพรหมจรรย์ในที่นี้หมายถึง บุคคลทั่วไปที่อาจมีครอบครัวแล้ว ก็ประพฤติพรหมจรรย์ได้โดยการงดเว้นการร่วมประเวณี เช่นในวันสำคัญๆเป็นต้น
มงคลที่33 รู้แจ้งอริยสัจสี่
นิทานเรื่องอ้ายจำเรียนมีความทุกข์ใจ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มชื่อจำเรียน เขาเป็นคนขยันและฉลาด แต่เขามีความทุกข์ใจอย่างหนึ่ง นั่นคือเขาไม่สามารถเรียนรู้ได้ดีเท่าที่เขาต้องการ
จำเรียนพยายามอย่างหนักเพื่อเรียนรู้ แต่เขาก็ยังไม่สามารถเข้าใจบทเรียนได้ดีพอ เขาจึงรู้สึกหงุดหงิดและท้อแท้ เขาลองถามอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้น แต่ก็ไม่มีใครช่วยเขาได้
วันหนึ่ง จำเรียนกำลังเดินผ่านป่าเมื่อเขาได้ยินเสียงร้องไห้ เขาเดินตามเสียงไปจนกระทั่งพบหญิงชราคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ จำเรียนจึงเข้าไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น
หญิงชรากล่าวว่า เธอทำสร้อยคอล้ำค่าหายไป จำเรียนจึงอาสารช่วยเธอตามหา เขาค้นหาทั่วทั้งป่า แต่ก็ไม่พบสร้อยคอ
ขณะที่จำเรียนกำลังจะสิ้นหวัง เขาก็สังเกตเห็นนกตัวหนึ่งบินอยู่เหนือศีรษะของเขา นกตัวนั้นมีอะไรบางอย่างอยู่ในปากของมัน จำเรียนจึงวิ่งตามนกไปจนกระทั่งนกตัวนั้นบินไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้
จำเรียนปีนขึ้นไปบนกิ่งไม้และพบว่านกตัวนั้นกำลังถือสร้อยคอของหญิงชราอยู่ จำเรียนจึงหยิบสร้อยคอมาคืนให้หญิงชรา หญิงชรามีความสุขมากและกล่าวขอบคุณจำเรียน
จำเรียนรู้สึกมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือหญิงชรา และในขณะนั้นเอง เขาก็รู้ว่าความทุกข์ใจของเขาได้หายไปแล้ว เขาตระหนักว่าความรู้ที่แท้จริงไม่ได้มาจากการเรียนในห้องเรียนเท่านั้น แต่ยังมาจากประสบการณ์และการช่วยเหลือผู้อื่นอีกด้วย
ตั้งแต่นั้นมา จำเรียนก็ไม่รู้สึกทุกข์ใจอีกต่อไป เขาเรียนรู้ได้ดีขึ้นและกลายเป็นนักเรียนที่ยอดเยี่ยม
-----
Q266
นิทานเรื่องรู้แจ้งอริยสัจสี่
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มชื่ออ้ายจำเรียน เขาเป็นคนขยันและใฝ่เรียนรู้ แต่ชีวิตของเขากลับเต็มไปด้วยความทุกข์ใจและความไม่พอใจ เขารู้สึกว่าตนเองไม่ดีพอและไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
วันหนึ่ง อ้ายจำเรียนได้พบกับพระสงฆ์รูปหนึ่ง พระสงฆ์ได้สอนเขาเกี่ยวกับอริยสัจสี่ ซึ่งเป็นหลักคำสอนพื้นฐานของพระพุทธศาสนา อริยสัจสี่ประกอบด้วย:
1. ทุกข์: ชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์
2. สมุทัย: ต้นเหตุของทุกข์คือความอยาก
3. นิโรธ: ทุกข์สามารถดับได้
4. มรรค: หนทางดับทุกข์คืออริยมรรคแปด
อ้ายจำเรียนฟังคำสอนของพระสงฆ์อย่างตั้งใจ และเริ่มเข้าใจความจริงของชีวิตมากขึ้น เขาตระหนักว่าความทุกข์ใจของเขามาจากความอยากของเขาเอง เขาอยากประสบความสำเร็จ เขาอยากเป็นที่รัก และเขาอยากมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ
เมื่ออ้ายจำเรียนเข้าใจอริยสัจสี่แล้ว เขาก็เริ่มปฏิบัติตามอริยมรรคแปด เขาเริ่มฝึกสติและสมาธิ เขาเริ่มปล่อยวางความอยาก และเขาเริ่มพัฒนาความเมตตาและความกรุณา
เมื่อเวลาผ่านไป อ้ายจำเรียนก็เริ่มรู้สึกสงบและมีความสุขมากขึ้น เขาตระหนักว่าความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากความสำเร็จหรือการมี แต่มาจากการปล่อยวางความอยากและการมีสติในปัจจุบันขณะ
ในที่สุด อ้ายจำเรียนก็บรรลุความรู้แจ้งและกลายเป็นพระอรหันต์ เขาได้ดับทุกข์ทั้งหมดของเขาและบรรลุถึงความสุขที่แท้จริง
๓๓.การเห็นอริยสัจ
อริยสัจ หมายถึงความจริงอันประเสริฐ หลักแห่งอริยสัจมีอยู่ ๔ ประการตามที่ท่านได้สั่งสอนไว้มีดังนี้
๑.ทุกข์ คือความไม่สบายกายไม่สบายใจ ความเป็นจริงของสัตว์โลกทุกผู้ทุกนามต้องมีทุกข์ ๓ ประการคือ การเกิด ความแก่ ความตาย นอกจากนี้ก็มีความทุกข์ที่เป็นอาการ หรือเกิดจากสภาพแวดล้อมสรุปได้ดังนี้คือ
-ความโศกเศร้า (โสกะ)
-ความรำพันด้วยความเสียใจ (ปริเทวะ)
-ความเจ็บไข้ได้ป่วย (ทุกขะ)
-ความเสียใจ (โทมนัสสะ)
-ความท้อแท้ สิ้นหวัง คับแค้นใจ (อุปายาสะ)
-การตรอมใจ ผิดหวังจากสิ่งที่ไม่รัก (อัปปิเยหิ สัมปโยคะ)
-การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก (ปิเยหิ วิปปโยคะ)
-ความหม่นหมองเมื่อปรารถนาแล้วไม่ได้สิ่งนั้น (ยัมปิจฉัง นลภติ)
๒.สมุทัย คือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ นอกจากเหตุแห่งทุกข์ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ต้นตอของทุกข์ก็อยู่ที่ใจของเราด้วยนั่นก็คือความอยาก ท่านว่าเป็นตัณหา ๓ อย่าง ซึ่งแบ่งออกได้เป็นดังนี้คือ
-ความอยากได้ หมายรวมถึงอยากทุกอย่างที่นำมาสนองสัมผัสทั้ง ๕ และกามารมณ์ (กามตัณหา)
-ความอยากเป็น คือความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ (ภวตัณหา)
-ความไม่อยากเป็น คือความไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ (วิภวตัณหา)
๓.นิโรธ คือความดับทุกข์ ภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไป ความหลุดพ้น หรือหมายถึงภาวะของพระนิพพานนั่นเอง
๔.มรรค คือข้อปฏิบัติ หรือหนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ การเดินทางสายกลางเพื่อไปให้ถึงการดับทุกข์ คือ มรรคมี ๘ ประการ คือ
-ความเห็นชอบ เช่นความศรัทธาในเบื้องต้นต่อหลักธรรม คำสอน เช่นการเชื่อว่ากรรมดีกรรมชั่วมีจริงเป็นต้น (สัมมาทิฏฐิ)
-ความดำริชอบ หรือความคิดชอบ มีความคิดที่ถูกต้องตามหลักธรรม เช่นการใช้ปัญญาพิจารณาความไม่เที่ยงของสังขาร หรือการไม่คิดอยากได้ของเขามาเป็นของเราเป็นต้น (สัมมาสังกัปปะ)
-เจรจาชอบ คือการปฏิบัติตามหลักธรรม ไม่พูดโกหก ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อเป็นต้น (สัมมาวาจา)
-ทำการชอบ หรือการมีการกระทำที่ไม่ผิดหลักศีลธรรม เช่นไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์เป็นต้น (สัมมากัมมันตะ)
-เลี้ยงชีพชอบ คือการทำมาหากินในทางที่ถูก ไม่เบียดเบียนหรือทำความเดือดร้อนให้กับสัตว์หรือผู้อื่น อยู่ในหลักธรรมที่กำหนด เช่น ไม่มีอาชีพค้ามนุษย์ หรืออาชีพค้าอาวุธเป็นต้น (สัมมาอาชีวะ)
-ความเพียรชอบ คือการหมั่นทำนุบำรุงในสิ่งที่ถูกต้อง อาทิเช่นการพยายามละกิเลสออกจากใจ หรือการพยายามสำรวม กาย วาจา ใจให้ดำเนินตามหลักธรรมของท่านเป็นต้น (สัมมาวายามะ)
-ความระลึกชอบ คือมีสติตั้งมั่นในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักธรรม เช่นการพึงระลึกถึงความตายที่ต้องเกิดกับทุกคนเป็นต้น (สัมมาสติ)
-จิตตั้งมั่นชอบ คือมีจิตที่มีสมาธิ ไม่ว่อกแวกหรือคิดฟุ้งซ่าน และการทำสมาธิภาวนาตามหลักการที่ท่านได้บัญญัติแนะนำเอาไว้ (สัมมาสมาธิ)
๓๔.การทำให้แจ้งในพระนิพพาน
นิพพาน คือ ภาวะของจิตที่ดับกิเลสได้หมดสิ้น หลุดจากอำนาจกรรม และไม่ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏอีก ซึ่งก็คือพ้นจากทุกข์นั่นเอง
ท่านว่าลักษณะของนิพพานมีอยู่ ๒ ระดับดังนี้คือ
๑.การดับกิเลสขณะที่ยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่ หรือการเข้าถึงนิพพานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ -สอุปาทิเสสนิพพาน
๒.การดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่เลย คือการที่ร่างกายเราแตกดับแล้วไปเสวยสุขอันเป็นอมตะในพระนิพพาน (ตรงนี้ไม่สามารถอธิบายให้กระจ่างมากไปกว่านี้ได้) -อนุปาทิเสสนิพพาน
การที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้ ก็ต้องปฏิบัติธรรมและเจริญสมาธิภาวนาจนถึงขั้นสูงสุด
-----
Q267
มงคลที่34 การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
นิทานเรื่องอ้ายจำเรียนเป็นคนรู้แจ้งพระนิพพาน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มชื่อจำเรียน อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง จำเรียนเป็นคนขยันหมั่นเพียรและใฝ่หาความรู้มาตั้งแต่เด็ก เขาได้ศึกษาคัมภีร์ต่างๆ มากมาย รวมถึงพระไตรปิฎก
เมื่อจำเรียนเติบโตเป็นหนุ่ม เขาก็ออกเดินทางแสวงหาความรู้เพิ่มเติม เขาได้พบกับพระอรหันต์ผู้มีปัญญาสูงส่ง พระอรหันต์ได้สอนจำเรียนเกี่ยวกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จำเรียนตั้งใจฟังและปฏิบัติตามคำสอนอย่างเคร่งครัด
หลังจากนั้น จำเรียนก็ได้ออกบวชและศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง เขาได้ฝึกสมาธิและพัฒนาปัญญาของตนเอง จนกระทั่งบรรลุธรรมและกลายเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
เมื่อจำเรียนบรรลุธรรมแล้ว เขาก็กลับไปยังหมู่บ้านของตนและเทศนาธรรมให้แก่ชาวบ้าน ชาวบ้านต่างเลื่อมใสในคำสอนของจำเรียนและปฏิบัติตามคำสอนเหล่านั้น จนหมู่บ้านแห่งนั้นกลายเป็นหมู่บ้านที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรือง
ตั้งแต่นั้นมา จำเรียนก็เป็นที่รู้จักในนาม "อ้ายจำเรียน" ผู้เป็นพระอรหันต์ที่นำความรู้แจ้งพระนิพพานมาสู่ชาวบ้าน
-----
Q237
มงคลที่35.มีจิตไม่หวั่นไหว
นิทานเรื่องอ้ายจำเรียนเป็นคนหวั่นไหวในโลกธรรม๘
ในหมู่บ้านอันแสนสงบแห่งหนึ่ง มีชายหนุ่มชื่อจำเรียน ผู้มีจิตใจอ่อนไหวและหลงใหลในโลกธรรม 8 ประการ ได้แก่ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ และนินทา
จำเรียนมักจะถูกโลกธรรมครอบงำจิตใจอยู่เสมอ เมื่อได้รับลาภหรือยศ ก็จะเกิดความสุขและความพึงพอใจอย่างล้นเหลือ แต่เมื่อสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไป ก็จะเกิดความทุกข์และความโศกเศร้าอย่างหนักหน่วง
วันหนึ่ง จำเรียนได้พบกับพระภิกษุผู้มีปัญญาสูงส่ง พระภิกษุได้สอนจำเรียนเกี่ยวกับความไม่เที่ยงแท้ของโลกธรรม 8 ประการ และชี้ให้เห็นว่าการยึดติดในสิ่งเหล่านี้จะนำมาซึ่งความทุกข์ในที่สุด
จำเรียนได้ฟังคำสอนของพระภิกษุแล้วก็เกิดความสลดใจ เขาตระหนักว่าตนเองได้หลงทางมาตลอด จึงตัดสินใจละวางความยึดติดในโลกธรรม 8 ประการ และหันมาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง
หลังจากนั้น จำเรียนก็ได้ออกบวชและศึกษาธรรมะอย่างลึกซึ้ง จนกระทั่งบรรลุธรรมและกลายเป็นพระอรหันต์ในที่สุด เมื่อจำเรียนบรรลุธรรมแล้ว เขาก็กลับไปยังหมู่บ้านของตนและเทศนาธรรมให้แก่ชาวบ้าน ชาวบ้านต่างเลื่อมใสในคำสอนของจำเรียนและปฏิบัติตามคำสอนเหล่านั้น จนหมู่บ้านแห่งนั้นกลายเป็นหมู่บ้านที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรือง
ตั้งแต่นั้นมา จำเรียนก็เป็นที่รู้จักในนาม "อ้ายจำเรียน" ผู้เป็นพระอรหันต์ที่ละวางความหวั่นไหวในโลกธรรม 8 ประการ และนำความสงบสุขมาสู่ชาวบ้าน
๓๕.มีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
คำว่าโลกธรรม มีความหมายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำบนโลกนี้ ซึ่งเราไม่ควรมีจิดหวั่นไหวต่อสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ท่านว่าลักษณะของโลกธรรมมี ๔ ประการคือ
๑.การได้ลาภ เมื่อมีลาภผลก็ย่อมมีความเสื่อมเป็นธรรมดา มีแล้วก็ย่อมหมดไปได้ เป็นแค่ความสุขชั่วคราวเท่านั้น
๒.การได้ยศ ยศฐาบรรดาศักดิ์ล้วนเป็นสิ่งสมมุติขึ้นมาทั้งนั้น เป็นสิ่งที่คนยอมรับกันว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ พอหมดยศก็หมดบารมี
๓.การได้รับการสรรเสริญ ที่ใดมีคนนิยมชมชอบ ที่นั่นก็ย่อมต้องมีคนเกลียดชังเป็นเรื่องธรรมดา การถูกนินทาจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
๔.การได้รับความสุข ที่ใดมีสุขที่นั่นก็จะมีทุกข์ด้วย มีความสุขแล้วก็อย่าหลงระเริงไปจนลืมนึกถึงความทุกข์ที่แฝงมาด้วย
การทำให้จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม มีวิธีดังนี้คือ
๑.ใช้ปัญญาพิจารณา โดยตั้งอยู่ในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา พิจารณาอยู่เนืองๆ ถึงหลักธรรมต่างๆ
๒.เจริญสมาธิภาวนา ใช้กรรมฐานพิจารณาถึงความเป็นไปในความไม่เที่ยงในสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก
----
อ่านต่อนิทานมงคลที่36-38👇🏽
สวัสดีครับเพื่อนๆอยากจะสนับสนุนนิทานและคำกลอนของอ้ายจำเรียน แต่งโดยใช้เอไอช่วยแต่งให้บางเรื่องอ่านจะขวิดจะขัด อ้ายจำเรียนต้องโทษด้วยนะครับ อยากให้กำลังเล็กๆน้อยๆด้วยการโอนเงินได้ที่
พร้อมเพย์เบอร์👉0892718015
ทรูมันนี่วอเลทเบอร์👉0892718015
นาย จำเรียน จันทร์รักษา
ขอบคุณมากครับ
สุดท้ายนี้อ้ายจำเรียนไม่มีอะไรให้นอกจากอวยพรให้
อ้ายจำเรียนขอให้น้องๆคนที่ใจดีกับอ้ายจำเรียนและใจดีมีความแมตตาต่อผู้อื่นทุกคนสุขสันต์ทุกวันไม่เจ็บไม่ป่วย ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ขอให้พระคุ้มครองคุณและครอบครัว ขอให้สุขสมหวังในทุกสิ่งที่ปรารถนา ขอให้การเรียนการงานการซื้อขายและธุรกิจ ราบรื่นสดใสปราศจากอุปสรรคทั้งปวง ขอให้สวยหล่อกันทุกคน ขอให้มีความสุขในการตอกกับแฟนราบรื่น จนถึงสวรรค์วิมานกันทุกคนนะครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น