เรื่องราวสยองขวัญ

อ้ายจำเรียนตอกสดๆปราบผีปอบ
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีชายหนุ่มชื่อจำเรียน เป็นคนขยันหมั่นเพียรและมีวิชาอาคมติดตัว วันหนึ่งขณะที่จำเรียนกำลังนั่งท่องหนังสืออยู่ที่ศาลาหน้าวัด ก็มีชาวบ้านวิ่งมาบอกว่ามีผีปอบออกอาละวาดในหมู่บ้าน จำเรียนจึงรีบหยิบมีดหมอและไม้เรียววิ่งไปยังบ้านที่เกิดเหตุ

เมื่อจำเรียนไปถึงก็พบว่าผีปอบกำลังอาละวาดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ชาวบ้านต่างพากันวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น จำเรียนไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปหาผีปอบทันที ผีปอบเห็นจำเรียนก็ตรงเข้ามาหาทันที จำเรียนใช้มีดหมอฟันไปที่ผีปอบ แต่ผีปอบกลับไม่เป็นอะไร จำเรียนจึงใช้ไม้เรียวตีไปที่ผีปอบ ผีปอบก็ยังไม่เป็นอะไรอีก

จำเรียนเริ่มหมดหนทาง จึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองมีวิชาอาคมติดตัวอยู่ จึงรีบร่ายมนต์และเสกคาถาใส่ผีปอบ ทันใดนั้นผีปอบก็ร้องโหยหวนและล้มลงไปกับพื้น จำเรียนจึงรีบวิ่งเข้าไปจับผีปอบมัดไว้แล้วนำไปขังไว้ในวัด

หลังจากนั้นจำเรียนก็ได้ทำพิธีปราบผีปอบจนสำเร็จ ชาวบ้านต่างพากันดีใจและยกย่องจำเรียนเป็นวีรบุรุษของหมู่บ้าน ตั้งแต่นั้นมาชื่อเสียงของจำเรียนก็โด่งดังไปทั่วทั้งแคว้น และไม่มีผีปอบตนใดกล้ามาอาละวาดในหมู่บ้านอีกเลย

ปราบผีปอบภาค2
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มชื่อจำเรียน เขาเป็นคนขยันหมั่นเพียรและใฝ่เรียนรู้ วันหนึ่งเขาได้พบกับพระธุดงค์รูปหนึ่ง พระธุดงค์ได้สอนวิชาตอกสดให้กับจำเรียน จำเรียนตั้งใจเรียนรู้วิชานี้อย่างมาก

ต่อมาจำเรียนได้ยินข่าวว่ามีผีปอบอาละวาดอยู่ในหมู่บ้าน เขาจึงตัดสินใจใช้วิชาที่เรียนมาปราบผีปอบนั้น จำเรียนไปที่บ้านของผีปอบและเริ่มตอกสด ผีปอบรู้สึกเจ็บปวดทรมานมาก จึงวิ่งหนีออกจากบ้านไป

จำเรียนวิ่งไล่ตามผีปอบไปจนถึงป่าช้า ผีปอบได้เข้าไปหลบในโลงศพ จำเรียนจึงตอกสดลงไปในโลงศพ ผีปอบทนความเจ็บปวดไม่ไหว จึงได้สิ้นใจตายในที่สุด

หลังจากนั้นจำเรียนก็ได้กลายเป็นหมอตอกสดที่มีชื่อเสียงในหมู่บ้าน เขาใช้วิชาของตนช่วยเหลือผู้คนที่ถูกผีปอบรบกวน และทำให้หมู่บ้านกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง

ปราบผีกระสือ
หลังจากที่จำเรียนได้ปราบผีปอบลงได้สำเร็จ ชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังไปทั่วหมู่บ้าน วันหนึ่งมีชาวบ้านมาขอความช่วยเหลือจากจำเรียน บอกว่ามีผีกระสือออกอาละวาดในหมู่บ้าน

จำเรียนจึงเดินทางไปที่บ้านของชาวบ้านคนนั้น และซ่อนตัวอยู่เพื่อรอผีกระสือออกมา พอตกดึก ผีกระสือก็โผล่ออกมาจากโลงศพ จำเรียนจึงกระโดดออกมาและตอกสดใส่ผีกระสือ

ผีกระสือเจ็บปวดทรมานมาก จึงได้หนีกลับเข้าไปในโลงศพ จำเรียนวิ่งไล่ตามไปและตอกสดใส่โลงศพจนผีกระสือตายในที่สุด

จำเรียนได้ปราบผีกระสือลงได้สำเร็จ และทำให้หมู่บ้านกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง
-----

หลังจากที่จำเรียนได้ปราบผีกระสือลงได้สำเร็จ ชื่อเสียงของเขาก็ยิ่งโด่งดังไปทั่วหมู่บ้าน วันหนึ่งมีชาวบ้านมาขอความช่วยเหลือจากจำเรียน บอกว่ามีผีกระหังออกอาละวาดในหมู่บ้าน

จำเรียนจึงเดินทางไปที่บ้านของชาวบ้านคนนั้น และซ่อนตัวอยู่เพื่อรอผีกระหังออกมา พอตกดึก ผีกระหังก็โผล่ออกมาจากโลงศพ จำเรียนจึงกระโดดออกมาและตอกสดใส่ผีกระหัง

ผีกระหังเจ็บปวดทรมานมาก จึงได้หนีกลับเข้าไปในโลงศพ จำเรียนวิ่งไล่ตามไปและตอกสดใส่โลงศพจนผีกระหังตายในที่สุด

จำเรียนได้ปราบผีกระหังลงได้สำเร็จ และทำให้หมู่บ้านกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง
-----

ผีกองกอย
ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีกองฟางขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมทุ่งนา ชาวบ้านเรียกกันว่า "กองกอย" เนื่องจากมีเรื่องเล่าขานกันมาว่ากองฟางแห่งนี้มีผีสิงอยู่

ครั้งหนึ่ง มีกลุ่มเด็กหนุ่มสาว 5 คนได้นัดกันไปเที่ยวที่กองกอยในตอนกลางคืน เพื่อท้าพิสูจน์ความกล้าของตนเอง พวกเขาได้นำเหล้าและอาหารไปกินกันอย่างสนุกสนานจนดึกดื่น

ขณะที่กำลังนั่งคุยกันอยู่นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมาจากกองฟาง เสียงนั้นคล้ายกับเสียงคนร้องไห้คร่ำครวญ พวกเด็กหนุ่มสาวมองหน้ากันด้วยความกลัว แต่ก็พยายามทำเป็นไม่สนใจ

แต่แล้วเสียงร้องไห้ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนพวกเขาเริ่มทนไม่ไหว จึงตัดสินใจเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปถึงกองฟาง ก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่

หญิงสาวคนนั้นมีใบหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอม และมีเลือดไหลออกจากปาก เธอเล่าให้พวกเด็กหนุ่มสาวฟังว่า เธอชื่อ "กอย" และถูกฆาตกรรมโหดเหี้ยมที่กองฟางแห่งนี้เมื่อหลายปีก่อน

พวกเด็กหนุ่มสาวฟังเรื่องราวของกอยด้วยความสลดใจ พวกเขาตัดสินใจที่จะช่วยกอยหาตัวฆาตกรและล้างแค้นให้เธอ พวกเขาจึงออกตามหาเบาะแสต่างๆ จนกระทั่งพบว่าฆาตกรของกอยคือชายหนุ่มคนหนึ่งในหมู่บ้านเดียวกัน

เมื่อพวกเด็กหนุ่มสาวรู้ตัวฆาตกรแล้ว ก็ได้ไปแจ้งความกับตำรวจ ตำรวจจึงได้จับกุมชายหนุ่มคนนั้นมาสอบสวน และในที่สุดชายหนุ่มก็สารภาพว่าตนเองเป็นฆาตกรจริง

หลังจากที่ฆาตกรของกอยถูกจับกุม กองฟางก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง แต่ชาวบ้านยังคงเล่าขานเรื่องราวของกอยสืบต่อมา และกองฟางแห่งนี้ก็กลายเป็นสถานที่ที่ผู้คนต่างเกรงกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้
-----

บ้านล้างสยองขวัญ
ในความมืดมิดของค่ำคืนอันหนาวเหน็บ ณ บ้านร้างหลังเก่าที่ถูกทิ้งร้างมานานหลายทศวรรษ เรื่องราวสยองขวัญที่น่าขนลุกกำลังจะเริ่มต้นขึ้น

เมื่อกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งตัดสินใจที่จะสำรวจบ้านร้างหลังนี้เพื่อความสนุกสนาน พวกเขาไม่รู้เลยว่ากำลังจะเผชิญหน้ากับความสยองขวัญที่ไม่อาจลืมเลือนได้

ทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในบ้าน ความรู้สึกอึดอัดและเย็นยะเยือกก็โอบล้อมพวกเขาไว้ ราวกับว่าบ้านหลังนี้กำลังเฝ้ารอคอยการมาเยือนของพวกเขาอยู่

ขณะที่พวกเขาเดินสำรวจไปตามห้องต่างๆ พวกเขาก็เริ่มได้ยินเสียงแปลกๆ เสียงฝีเท้าที่ดังก้องอยู่บนชั้นบน เสียงกระซิบที่แผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน และเสียงครวญครางที่น่าขนลุก

ความกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามาในใจของพวกเขา และเมื่อพวกเขาพยายามจะหนีออกไป พวกเขาก็พบว่าประตูหน้าบ้านถูกล็อกจากด้านใน

พวกเขาติดอยู่ภายในบ้านร้างที่เต็มไปด้วยความสยองขวัญ และยิ่งเวลาผ่านไป ความสยองขวัญก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

พวกเขาเริ่มเห็นเงาที่เคลื่อนไหวอยู่ตามมุมห้อง ได้ยินเสียงกรีดร้องที่น่าขนลุก และรู้สึกถึงลมหายใจที่เย็นยะเยือกอยู่ที่ท้ายทอยของพวกเขา

หนึ่งในวัยรุ่นเริ่มมีอาการประสาทหลอน เห็นภาพหลอนของเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมภายในบ้านหลังนี้

ความกลัวและความสิ้นหวังเริ่มครอบงำจิตใจของพวกเขา และเมื่อพวกเขาคิดว่าสถานการณ์จะเลวร้ายไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ความสยองขวัญก็ถึงขีดสุด

พวกเขาพบศพที่ถูกแขวนอยู่บนเพดานห้องนอนใหญ่ เป็นศพของเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่ถูกฆาตกรรมในอดีต

ความสยองขวัญและความหวาดกลัวทำให้พวกเขาแทบจะหายใจไม่ออก พวกเขาพยายามหนีออกไปอีกครั้ง แต่ก็สายเกินไปแล้ว

ประตูหน้าบ้านเปิดออกเอง และเงาสีดำก็ปรากฏขึ้นที่ประตู เงาที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและความเกลียดชัง

เงาสีดำค่อยๆ เข้ามาใกล้พวกเขา และเมื่อมันเข้ามาใกล้ พวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาไม่มีทางหนีรอดได้แล้ว

ความสยองขวัญที่พวกเขาประสบพบเจอในบ้านร้างหลังนี้จะยังคงหลอกหลอนพวกเขาไปตลอดชีวิต และความลับที่ซ่อนอยู่ภายในกำแพงบ้านหลังนี้จะยังคงเป็นปริศนาที่ไม่มีวันคลี่คลาย


ตึกสยองขวัญ
ในความมืดมิดที่ปกคลุมเมืองราวกับผืนผ้าห่มหนา ท่ามกลางความเงียบงันที่ปกคลุมไปทั่ว มีตึกสูงแห่งหนึ่งที่โดดเด่นเป็นสง่าราวกับยักษ์ใหญ่ที่เฝ้าเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของผู้คนเบื้องล่าง ตึกแห่งนี้มีชื่อเสียงในด้านความสยองขวัญที่เล่าขานกันมาช้านาน

ผู้คนเล่าลือกันว่าในอดีตตึกแห่งนี้เคยเป็นโรงพยาบาลเก่าที่เต็มไปด้วยความตายและความทุกข์ทรมาน วิญญาณของผู้ป่วยที่สิ้นใจลงภายในกำแพงเย็นยะเยือกยังคงวนเวียนอยู่ในตึกแห่งนี้ ไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้เนื่องจากความอาฆาตแค้นที่ฝังแน่น

มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับความสยองขวัญที่เกิดขึ้นภายในตึกแห่งนี้ ผู้คนเล่าว่าได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิงในยามค่ำคืน เห็นเงาแปลกๆ เคลื่อนไหวอยู่ตามทางเดิน และสัมผัสได้ถึงลมหายใจเย็นยะเยือกอยู่ที่ท้ายทอย

มีคนเคยเล่าว่าครั้งหนึ่งมีกลุ่มวัยรุ่นตัดสินใจที่จะสำรวจตึกแห่งนี้ในตอนกลางคืน เพื่อพิสูจน์ความกล้าหาญของตัวเอง พวกเขาพกไฟฉายและกล้องถ่ายรูปเข้าไปในตึกที่มืดมิดและเงียบสงัด

ขณะที่พวกเขาเดินสำรวจไปตามชั้นต่างๆ พวกเขาก็เริ่มรู้สึกถึงความอึดอัดและเย็นยะเยือกที่โอบล้อมพวกเขาไว้ ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังเฝ้าดูพวกเขาอยู่

ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังก้องอยู่ด้านหลัง พวกเขาหันกลับไปมองแต่ก็ไม่พบใคร พวกเขาเริ่มรู้สึกกลัวและพยายามจะหนีออกไปจากตึกแห่งนี้ แต่ประตูหน้ากลับถูกล็อกจากด้านใน

พวกเขาติดอยู่ภายในตึกสยองขวัญแห่งนี้ และความสยองขวัญก็เริ่มต้นขึ้น

พวกเขาเห็นเงาแปลกๆ เคลื่อนไหวอยู่ตามมุมห้อง ได้ยินเสียงกระซิบที่แผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน และรู้สึกถึงลมหายใจเย็นยะเยือกอยู่ที่ท้ายทอยของพวกเขา

หนึ่งในวัยรุ่นเริ่มมีอาการประสาทหลอน เห็นภาพหลอนของวิญญาณที่ทรมานอยู่ภายในตึกแห่งนี้

ความกลัวและความสิ้นหวังเริ่มครอบงำจิตใจของพวกเขา และเมื่อพวกเขาคิดว่าสถานการณ์จะเลวร้ายไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ความสยองขวัญก็ถึงขีดสุด

พวกเขาพบศพของเพื่อนของพวกเขาที่ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมในห้องเก็บของชั้นบน

ความสยองขวัญและความหวาดกลัวทำให้พวกเขาแทบจะหายใจไม่ออก พวกเขาพยายามหนีออกไปอีกครั้ง แต่ก็สายเกินไปแล้ว

ประตูหน้าบ้านเปิดออกเอง และวิญญาณร้ายก็ปรากฏขึ้นที่ประตู วิญญาณที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและความเกลียดชัง

วิญญาณร้ายค่อยๆ เข้ามาใกล้พวกเขา และเมื่อมันเข้ามาใกล้ พวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาไม่มีทางหนีรอดได้แล้ว

ความสยองขวัญที่พวกเขาประสบพบเจอในตึกแห่งนี้จะยังคงหลอกหลอนพวกเขาไปตลอดชีวิต และความลับที่ซ่อนอยู่ภายในกำแพงตึกแห่งนี้จะยังคงเป็นปริศนาที่ไม่มีวันคลี่คลาย
-----
Q41


-ในหุบเขาอันห่างไกลและลึกลับ ซ่อนหมู่บ้านร้างแห่งหนึ่งที่ถูกปกคลุมไปด้วยเงาแห่งความสยองขวัญ

หมู่บ้านร้างแห่งนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านที่สงบสุข จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ชาวบ้านเริ่มหายตัวไปทีละคนอย่างลึกลับ ไม่ทิ้งร่องรอยใดไว้เบื้องหลัง

ความกลัวและความหวาดระแวงแพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้าน จนในที่สุดผู้ที่เหลืออยู่ก็ตัดสินใจทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนของตนและหนีไป

เวลาผ่านไปหลายปี หมู่บ้านร้างแห่งนี้ก็กลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าขานและตำนานสยองขวัญ ผู้คนเล่าลือกันว่าหมู่บ้านแห่งนี้ถูกสาปแช่ง และวิญญาณของผู้ที่หายตัวไปยังคงวนเวียนอยู่ในนั้น

วันหนึ่ง กลุ่มนักสำรวจที่กล้าหาญตัดสินใจที่จะเข้าไปสำรวจหมู่บ้านร้างแห่งนี้ พวกเขาติดอาวุธด้วยไฟฉายและกล้องวิดีโอ พร้อมกับความอยากรู้อยากเห็นและความปรารถนาที่จะไขความลับที่ซ่อนอยู่

ขณะที่พวกเขาเดินผ่านถนนที่รกร้างและบ้านเรือนที่ทรุดโทรม พวกเขาก็เริ่มรู้สึกถึงความไม่สบายใจที่คืบคลานเข้ามา ความเงียบที่ปกคลุมหมู่บ้านนั้นชวนขนลุก และอากาศก็หนาวเย็นจนแทบจะจับตัวได้

เมื่อพวกเขาเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง พวกเขาก็พบกับภาพที่น่าสยดสยอง ศพของชาวบ้านที่หายตัวไปถูกแขวนอยู่บนเพดาน ใบหน้าของพวกเขายังคงแสดงออกถึงความหวาดกลัวและความเจ็บปวด

นักสำรวจตกใจและหวาดกลัว พวกเขารีบวิ่งออกจากบ้านและกลับไปที่รถของตน แต่เมื่อพวกเขาหันหลังกลับ พวกเขาก็เห็นว่าหมู่บ้านร้างแห่งนี้ได้เปลี่ยนไป

บ้านเรือนที่ทรุดโทรมกลายเป็นปราสาทที่โอ่อ่า และถนนที่รกร้างก็กลายเป็นสวนที่งดงาม แต่ในความงามนั้นก็แฝงไปด้วยความชั่วร้าย

นักสำรวจพยายามที่จะหนี แต่พวกเขาก็พบว่าตนเองติดอยู่ในหมู่บ้านร้างแห่งนี้ วิญญาณของผู้ที่หายตัวไปได้กลับมาเพื่อแก้แค้น และพวกเขาก็จะไม่มีวันหนีออกไปได้

ป่าช้าสยองขวัญ

ในความมืดมิดที่ปกคลุมไปด้วยความเงียบงันของป่าช้าเก่าแก่แห่งนี้ ความสยองขวัญได้แผ่ซ่านไปทั่วทุกหนแห่ง หลุมศพที่ถูกทอดทิ้งและหญ้ารกทึบสร้างบรรยากาศที่น่าขนลุกราวกับว่าวิญญาณที่หลงทางกำลังเฝ้ารออยู่

เมื่อพระจันทร์เต็มดวงส่องแสงลงมา หลุมศพจะเริ่มสั่นไหวและเสียงคร่ำครวญอันน่าขนลุกก็จะดังก้องไปทั่วป่าช้า วิญญาณที่โกรธแค้นจะปรากฏตัวขึ้นจากความมืดมิด ดวงตาที่ว่างเปล่าจ้องมองมาที่ผู้บุกรุกด้วยความเกลียดชัง

มีตำนานเล่าขานกันว่าป่าช้าแห่งนี้เคยเป็นที่ฝังศพของผู้ที่ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม วิญญาณของพวกเขาไม่สามารถหาความสงบได้และยังคงวนเวียนอยู่ที่นี่เพื่อแก้แค้น

ผู้ที่กล้าหาญพอที่จะเข้ามาในป่าช้าแห่งนี้จะต้องเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความสยองขวัญที่ไม่อาจลืมเลือน เสียงฝีเท้าที่ดังก้องไปทั่วความว่างเปล่า กลิ่นเหม็นเน่าของความตาย และความรู้สึกที่ว่ามีใครบางคนกำลังเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา

เมื่อรุ่งสางมาถึง ความสยองขวัญก็จะจางหายไปพร้อมกับความมืด แต่ร่องรอยของมันจะยังคงหลงเหลืออยู่ในหัวใจของผู้ที่กล้าหาญพอที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวของตนเอง
ในยามค่ำคืนที่มืดมิดที่สุด เมื่อความสยองขวัญแผ่ซ่านไปทั่วป่าช้า วิญญาณที่โกรธแค้นจะปรากฏตัวขึ้นจากความมืดมิด ดวงตาที่ว่างเปล่าจ้องมองมาที่ผู้บุกรุกด้วยความเกลียดชัง

วิญญาณเหล่านี้ไม่สามารถหาความสงบได้ เนื่องจากพวกเขาถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมและฝังไว้ในป่าช้าแห่งนี้ วิญญาณที่โกรธแค้นเหล่านี้จะตามหลอกหลอนผู้ที่กล้าหาญพอที่จะเข้ามาในอาณาเขตของพวกเขา

มีเรื่องเล่าขานกันว่า มีกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่ตัดสินใจเข้ามาในป่าช้าในคืนวันฮาโลวีน พวกเขาหัวเราะเยาะตำนานและท้าทายวิญญาณที่หลอกหลอน แต่เมื่อความมืดมาเยือน วิญญาณที่โกรธแค้นก็ปรากฏตัวขึ้น

วิญญาณเหล่านี้โจมตีวัยรุ่นอย่างโหดเหี้ยม ฆ่าพวกเขาไปทีละคนจนกระทั่งไม่มีใครเหลือรอด เสียงกรีดร้องของพวกเขาจางหายไปในความมืด และป่าช้าก็กลับคืนสู่ความเงียบงันที่น่าขนลุก

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ป่าช้าแห่งนี้ก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นกว่าเดิม วิญญาณที่โกรธแค้นยังคงวนเวียนอยู่ที่นี่ คอยแก้แค้นผู้ที่กล้าหาญพอที่จะเข้ามาในอาณาเขตของพวกเขา
-----

เรื่องราวแม่นาคพระโขนง

มีสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่ง อาศัยอยู่ด้วยกันที่ย่านพระโขนง สามีชื่อนายมาก ส่วนภรรยาชื่อนาค ทั้งสองใช้ชีวิตคู่ร่วมกันจนนางนากตั้งครรภ์อ่อน ๆ นายมากก็มีหมายเรียกให้ไปเป็นทหารประจำการที่บางกอก นางนากจึงต้องอยู่ตามลำพัง เวลาผ่านไป ท้องของนางนากก็ยิ่งโตขึ้นเรื่อย ๆ จนครบกำหนดคลอด หมอตำแยก็มาทำคลอดให้ ทว่าลูกของนางนากไม่ยอมกลับหัว จึงไม่สามารถคลอดออกมาตามธรรมชาติ ยังผลให้นางนากเจ็บปวดเป็นยิ่งนัก และในที่สุดนางนากก็ทนความเจ็บปวดไว้ไม่ไหว สิ้นใจไปพร้อมกับลูกในท้อง กลายเป็นผีตายทั้งกลม


หลังจากนั้น ศพของนางนากได้ถูกนำไปฝังไว้ยังป่าช้าท้ายวัดมหาบุศย์ ส่วนนายมากเมื่อปลดประจำการก็กลับจากบางกอกมายังพระโขนงโดยที่ยังไม่ทราบความว่าเมียของตัวได้หาชีวิตไม่แล้ว นายมากกลับมาถึงในเวลาเข้าไต้เข้าไฟพอดี จึงไม่ได้พบชาวบ้านเลย เนื่องจากบริเวณบ้านของนางนาก หลังจากที่นางนากตายไปก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เพราะกลัวผีนางนากซึ่งต่างก็เชื่อกันว่าวิญญาณของผีตายทั้งกลมนั้นเฮี้ยน และมีความดุร้ายเป็นยิ่งนัก


ครั้นเมื่อนายมากกลับมาอยู่ที่บ้าน ผีนางนากก็คอยพยายามรั้งนายมากให้อยู่ที่บ้านตลอดเวลา ไม่ให้ออกไปพบใคร เพราะเกรงว่านายมากจะรู้ความจริงจากชาวบ้าน นายมากก็เชื่อเมีย เพราะรักเมีย ไม่ว่าใครที่มาพบเจอนายมากจะบอกนายมากอย่างไร นายมากก็ไม่เชื่อว่าเมียตัวเองตายไปแล้ว จนวันหนึ่งขณะที่นางนากตำน้ำพริกอยู่บนบ้าน นางนากทำมะนาวตกลงไปใต้ถุนบ้าน ด้วยความรีบร้อน นางจึงเอื้อมมือยาวลงมาจากร่องบนพื้นเรือนเพื่อเก็บมะนาวที่อยู่ใต้ถุนบ้าน นายมากขณะนั้น บังเอิญผ่านมาเห็นพอดี จึงปักใจเชื่ออย่างเต็มร้อย ว่าเมียตัวเองเป็นผีตามที่ชาวบ้านว่ากัน


นายมากวางแผนหลบหนีผีนางนาก โดยการแอบเจาะตุ่มใส่น้ำให้รั่วแล้วเอาดินอุดไว้ ตกกลางคืนทำทีเป็นไปปลดทุกข์เบา แล้วแกะดินที่อุดตุ่มไว้ให้น้ำไหลออกเหมือนคนปลดทุกข์เบา จากนั้นจึงแอบหนีไป นางนากเมื่อเห็นผิดสังเกตจึงออกมาดู ทำให้รู้ว่าตัวเองโดนหลอก จึงตามนายมากไปทันที นายมากเมื่อเห็นผีนางนากตามมาจึงหนีเข้าไปหลบอยู่ในดงหนาด นางนากไม่สามารถทำอะไรได้เพราะผีกลัวใบหนาด นายมากหนีไปพึ่งพระที่วัด นางนากไม่ลดละพยายาม ด้วยความที่เจ็บใจชาวบ้านที่คอยยุแยงตะแคงรั่วผัวตัวเองอีกประการหนึ่ง ทำให้นางนากออกอาละวาดหลอกหลอนชาวบ้านจนหวาดกลัวกันไปทั้งบาง ซึ่งความเฮี้ยนของนางนาก ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ถูกฝังไว้ระหว่างต้นตะเคียนคู่นั่นเอง ในที่สุด นางนากก็ถูกหมอผีฝีมือดีจับใส่หม้อถ่วงน้ำ จึงสงบไปได้พักใหญ่


จนกระทั่งตายายคู่หนึ่งที่ไม่รู้เรื่องเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ เก็บหม้อที่ถ่วงนางนากได้ขณะทอดแหจับปลา นางนากจึงถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ถูกสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สยบลงได้ กะโหลกศีรษะส่วนหน้าผากของนางนากถูกเคาะออกมาทำหัวปั้นเหน่ง เพื่อเป็นการสะกดวิญญาณ และนำนางนากสู่สุคติ หลังจากนั้น ปั้นเหน่งชิ้นนั้นก็ตกทอดไปยังเจ้าของอื่น ๆ อีกหลายมือ ตำนานรักของนางนาก นับเป็นตำนานรักอีกเรื่องหนึ่งที่ประทับใจผู้ฟังอย่างไม่รู้จบ กับความรักที่มั่นคงของนางนากที่มีต่อสามี ที่แม้แต่ความตายก็มิอาจพรากหัวใจรักของนางไปได้[2]

ความเชื่อของคนไทย

แก้

เรื่องราวของแม่นากพระโขนงปรากฏอยู่ทั่วไปตามความเชื่อของคนไทยร่วมสมัยและตราบจนปัจจุบัน เช่น เชื่อว่าชื่อสี่แยกมหานาค ที่เขตดุสิตในปัจจุบัน มาจากการที่แม่นากอาละวาดขยายตัวให้ใหญ่ และล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 ก็ยังเคยเสด็จทอดพระเนตรด้วย[2] หรือ เชื่อว่าพระรูปที่มาปราบแม่นากได้นั้นคือสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เป็นต้น อีกทั้งยังเชื่อว่าท่านเป็นคนเจาะกะโหลกที่หน้าผากของแม่นากทำเป็นปั้นเหน่ง เพื่อสะกดวิญญาณแม่นาก และได้สร้างห้องเพื่อเก็บปั้นเหน่งชิ้นนี้ไว้ต่างหาก หรือหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็ยังได้เขียนบันทึกเอาไว้ว่า เมื่อ พ.ศ. 2468 ซึ่งเป็นสมัยที่ท่านยังเป็นเด็ก ท่านเคยเห็นเรือนของแม่นากด้วย เป็นเรือนลักษณะเหมือนเรือนไทยภาคกลางทั่วไปอยู่ติดริมคลองพระโขนง มีเสาเรือนสูง มีห้องครัวอยู่ด้านหลัง ซึ่งปัจจุบันนี้ได้ถูกรื้อถอนไปแล้ว [2] และยังเคยขึ้นไปบนศาลาการเปรียญของวัดมหาบุศย์ด้วย ในขณะนั้นศาลาการเปรียญหลังใหม่ บนฝ้าเพดานมีรอยเท้าเปื้อนโคลนคล้ายรอยเท้าคนเหยียบย่ำไปมาหลายรอย สมภารบอกว่าเป็นรอยเท้าของแม่นาก[4]


ถึงอย่างไรก็ตาม ความเชื่อเรื่องแม่นากพระโขนงยังคงปรากฏอยู่ในความเชื่อของคนไทย ณ วัดมหาบุศย์ ภายในซอยสุขุมวิท 77 (ถนนอ่อนนุช) เขตสวนหลวงในปัจจุบัน มีศาลแม่นากตั้งอยู่ ซึ่งเป็นที่สักการบูชาอย่างมากของบุคคลในและนอกพื้นที่ โดยบุคคลเหล่านี้จะเรียกแม่นากด้วยความเคารพว่า "ย่านาก" บ้างก็เชื่อว่าร่างของแม่นากถูกฝังอยู่ระหว่างต้นตะเคียนคู่ภายในศาล[5] โดยมีผู้มาบนบานขอในสิ่งที่ตนต้องการเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเรื่องความรัก [5]

สวัสดีครับท่านผู้อ่านและFCอ้ายจำเรียนตอกสดๆที่น่ารักทุกคนอ่านนิทานแล้วอยากสนับสนุนนิทานของอ้ายจำเรียนแต่งนิทานด้วยAI เพื่อเป็นกำลังใจและเป็นค่าAI จะทะยอยลงวันละ3-4เรื่องสนับสนุนด้วยการโอนเงินตามช่องทางนี้นะครับแล้วแต่จะให้นะครับ อย่าโอนมาเยอะโอนมาแค่1-100บาทพอ ครับแต่โอนเป็นประจำโอนมาบ่อยๆนะครับ อยากแนะนำนิทานแนวไหน ขอคำติชมด้วยนะครับพิมบอกทางไลน์มานะคับหรือจะคอมเม้นท์มาในโพสนี้ก็ได้ครับ

ช่องทางการโอนเงิน👇
โทร/พร้อมเพย์/ทรูมันนี่วอเลทเบอร์👉 0892718015
ชื่อนาย จำเรียน จันทร์รักษา
ทักแชทไลน์กดค้างไว้จนกว่าจะขึ้นรูปไลน์👇กดที่รูปไลน์เลยครับ👇🏽
https://line.me/ti/p/cGDqLx_Lhe


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม