นิทานวันที่12/04/2567
นิทานเรื่องการคบบัณฑิต
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อว่า "น้อย" เขาเป็นเด็กที่ขยันและฉลาด แต่เขามักจะรู้สึกโดดเดี่ยวและไม่มีเพื่อนเล่นวันหนึ่ง น้อยได้พบกับบัณฑิตชราผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ บัณฑิตชราผู้นี้มีหนวดเครายาวสีขาวและดวงตาที่ฉลาดเป็นประกาย น้อยเข้าไปหาบัณฑิตชราและถามว่า "ท่านอาจารย์ ท่านมีเวลาที่จะเป็นเพื่อนกับผมไหมครับ ผมรู้สึกเหงาจัง"
บัณฑิตชราหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า "ได้สิหนุ่มน้อย ฉันยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับเจ้า"
น้อยและบัณฑิตชรากลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน พวกเขาใช้เวลาร่วมกันมากมาย โดยน้อยจะเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้บัณฑิตชราฟัง ส่วนบัณฑิตชราก็จะสอนน้อยเกี่ยวกับโลกและให้คำแนะนำที่ชาญฉลาด
วันหนึ่ง น้อยถามบัณฑิตชราว่า "ท่านอาจารย์ ท่านคิดว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตครับ"
บัณฑิตชราตอบว่า "สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคือการมีเพื่อนที่ดี เพื่อนที่ดีจะอยู่เคียงข้างเจ้าในยามสุขและทุกข์ จะสนับสนุนเจ้าเมื่อเจ้าต้องการ และจะช่วยให้เจ้าเติบโตเป็นคนที่ดีขึ้น"
น้อยจดจำคำพูดของบัณฑิตชราไว้เสมอ และเขาก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเป็นเพื่อนที่ดีกับทุกคน ตั้งแต่นั้นมา น้อยก็ไม่เคยรู้สึกเหงาอีกเลย เพราะเขามีเพื่อนที่ดีที่สุดคอยอยู่เคียงข้าง
-----
Q97
นิทานเรื่องเด็กเกเร
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กชายคนหนึ่งชื่อว่า "โนอาห์" เขาเป็นเด็กที่ขยันและฉลาด แต่ก็ค่อนข้างขี้อายและเก็บตัว ในทางกลับกัน "เจค" เพื่อนบ้านของเขาเป็นเด็กที่เกเรและชอบหาเรื่อง เขาชอบแกล้งเด็กคนอื่นและมักจะทำตัวเป็นหัวโจก
วันหนึ่ง ขณะที่โนอาห์กำลังเดินกลับบ้านจากโรงเรียน เจคก็เข้ามาหาเขาและเริ่มแกล้งเขา โนอาห์พยายามหลีกเลี่ยง แต่เจคก็ไม่ยอมหยุด เขาผลักโนอาห์ล้มลงและหัวเราะเยาะ
โนอาห์รู้สึกโกรธและอับอาย แต่เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เขาจึงลุกขึ้นและวิ่งหนีไป เจคไล่ตามเขาไป แต่โนอาห์ก็วิ่งเร็วกว่าและสามารถหนีไปได้
ในวันรุ่งขึ้น โนอาห์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พ่อแม่ฟัง พ่อแม่ของเขาโกรธมากและไปหาพ่อแม่ของเจคเพื่อพูดคุยกัน พ่อแม่ของเจคขอโทษสำหรับพฤติกรรมของลูกชายและสัญญาว่าจะจัดการเรื่องนี้
เจคถูกพ่อแม่ลงโทษอย่างหนัก เขาต้องกักบริเวณอยู่ที่บ้านและไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปเล่นกับเพื่อนๆ เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เจครู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เขาทำและสัญญาว่าจะไม่แกล้งโนอาห์อีก
หลังจากนั้น เจคก็เปลี่ยนแปลงไป เขาเลิกแกล้งเด็กคนอื่นและเริ่มเป็นคนดีขึ้น โนอาห์และเจคกลายเป็นเพื่อนกันและเล่นด้วยกันอย่างมีความสุข
-----
Q98
นิทานเรื่องการไม่คบคนเกเร
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีเด็กหนุ่มชื่ออ้ายจำเรียน เป็นเด็กที่เรียนเก่งและขยันหมั่นเพียรมาก จนได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าห้อง
วันหนึ่ง อ้ายจำเรียนได้ขึ้นไปยืนบนแท่นหน้าห้อง เพื่ออธิบายเรื่องการไม่คบคนพาลให้เพื่อนๆ ฟัง อ้ายจำเรียนกล่าวว่า
"เพื่อนๆ ที่รัก การคบคนพาลนั้นมีแต่โทษ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย คนพาลเปรียบเสมือนไฟที่คอยเผาผลาญเราให้มอดไหม้"
"คนพาลมักจะชักชวนเราไปในทางที่ผิด พาเราไปทำสิ่งที่ไม่ดี เช่น การโกหก การขโมย หรือการทะเลาะวิวาท"
"หากเราคบคนพาลบ่อยๆ นิสัยของเราก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไป เราจะกลายเป็นคนเกียจคร้าน ไม่สนใจเรียน และอาจจะทำผิดกฎหมายได้"
"ดังนั้น เราจึงควรหลีกเลี่ยงการคบคนพาล และคบหาแต่กับคนดีๆ ที่จะช่วยให้เราพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น"
เพื่อนๆ ของอ้ายจำเรียนต่างก็ตั้งใจฟังคำอธิบายของเขา และเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด ทุกคนต่างก็ตกลงกันว่าจะไม่คบคนพาล และจะคบหาแต่กับคนดีๆ เท่านั้น
ตั้งแต่นั้นมา หมู่บ้านแห่งนั้นก็สงบสุขและร่มเย็น เพราะทุกคนต่างก็หลีกเลี่ยงการคบคนพาล และคบหาแต่กับคนดีๆ ที่ช่วยให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น
-----
Q99
นิทานเรื่องการไม่บูชาคน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กหนุ่มชื่อจำเรียนที่เรียนเก่งและเป็นหัวหน้าห้อง เขาเป็นเด็กที่ขยันหมั่นเพียรและเคารพพ่อแม่เสมอ
วันหนึ่ง ขณะที่จำเรียนกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน เขาได้ยินเสียงคนคุยกันข้างนอกบ้าน จำเรียนจึงแอบไปฟังก็ได้ยินว่ามีคนกำลังพูดถึงเรื่องการบูชาคนที่ควรบูชา
คนหนึ่งพูดว่า "เราควรบูชาพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์เป็นผู้ที่ตรัสรู้และสอนให้เรารู้จักความจริง"
อีกคนหนึ่งพูดว่า "เราควรบูชาพ่อแม่ของเรา เพราะท่านเป็นผู้ที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามา"
จำเรียนฟังแล้วก็เกิดความสงสัยว่าใครกันแน่ที่ควรบูชา เขาจึงตัดสินใจไปถามครูของเขา
ครูของจำเรียนอธิบายว่า "การบูชาเป็นการแสดงความเคารพและระลึกถึงคุณงามความดีของผู้อื่น เราควรบูชาคนที่ควรบูชา โดยพิจารณาจากคุณงามความดีของคนผู้นั้น"
ครูของจำเรียนกล่าวต่อว่า "พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ตรัสรู้และสอนให้เรารู้จักความจริง ท่านเป็นผู้ที่ควรบูชาเพราะท่านได้ช่วยให้เราพ้นจากความทุกข์"
"ส่วนพ่อแม่ของเราเป็นผู้ที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามา ท่านเป็นผู้ที่ควรบูชาเพราะท่านได้เสียสละเพื่อเราอย่างมากมาย"
จำเรียนฟังคำอธิบายของครูแล้วก็เข้าใจ เขาจึงตัดสินใจบูชาทั้งพระพุทธเจ้าและพ่อแม่ของเขา เพราะท่านทั้งสองเป็นผู้ที่มีคุณงามความดีที่ควรค่าแก่การบูชา
-----
Q100
นิทานเรื่องหนูอยากเข้าป่าอ้อย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กสาวคนหนึ่งชื่ออ้ายเรียน เธอเป็นเด็กที่ขยันและฉลาดมาก วันหนึ่งเธออยากเข้าไปในป่าอ้อย เธอจึงขออนุญาตจากพ่อแม่ของเธอ
พ่อแม่ของเธออนุญาตให้เธอไป แต่เตือนเธอว่าให้ระวังอันตรายในป่า อ้ายเรียนรับปากและออกเดินทางไปยังป่าอ้อย
เมื่อเธอเข้าไปในป่า เธอพบว่ามันใหญ่และหนาทึบมาก เธอเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหลงทาง เธอเริ่มกลัวและร้องไห้
ขณะที่เธอกำลังร้องไห้อยู่ เธอได้ยินเสียงฝีเท้า เธอหันไปมองและเห็นชายชราคนหนึ่งกำลังเดินมาหาเธอ
ชายชราถามเธอว่าทำไมเธอถึงร้องไห้ อ้ายเรียนจึงเล่าเรื่องที่เธอหลงทางให้ชายชราฟัง ชายชราจึงพาเธอออกจากป่า
อ้ายเรียนขอบคุณชายชราและกลับบ้านอย่างปลอดภัย เธอได้เรียนรู้ว่าไม่ควรเข้าไปในป่าคนเดียวและควรฟังคำเตือนของพ่อแม่
-----
Q119
นิทานเรื่งพบรักในป่าอ้อย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มรูปงามนามว่า "อ้ายจำเรียน" เขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นี้มีนิสัยขยันขันแข็งและซื่อสัตย์ แต่ทว่าเขากลับมีรูปร่างที่เตี้ยตันและหน้าตาไม่หล่อเหลาเอาเสียเลย ทำให้ไม่มีสาวใดหมายปอง
วันหนึ่ง อ้ายจำเรียนได้ออกไปหาปลาในป่าอ้อยข้างหมู่บ้าน ขณะที่เขากำลังเดินไปตามลำธารสายเล็กๆ เขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของหญิงสาวดังมาจากพุ่มไม้ข้างทาง อ้ายจำเรียนรีบวิ่งเข้าไปดูและพบหญิงสาวรูปร่างหน้าตาสะสวยนั่งร้องไห้อยู่
"เจ้าเป็นอะไรหรือแม่นาง" อ้ายจำเรียนถามด้วยความเป็นห่วง
"ข้าหลงทางมาจากหมู่บ้านอื่น" หญิงสาวตอบ "ข้าหาทางกลับบ้านไม่เจอ"
"ไม่เป็นไร ข้าจะพาเจ้ากลับไปเอง" อ้ายจำเรียนอาสารับเป็นผู้นำทาง
ทั้งสองเดินไปด้วยกันจนกระทั่งถึงหมู่บ้านของหญิงสาว หญิงสาวรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของอ้ายจำเรียนเป็นอย่างมาก จึงเชิญให้เขาเข้าไปในบ้านเพื่อดื่มน้ำและพักผ่อน
ขณะที่นั่งคุยกันอยู่นั้น หญิงสาวก็ได้เล่าเรื่องราวของตนเองให้ฟังว่า นางชื่อ "คำแก้ว" และเป็นลูกสาวของผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านข้างเคียง นางได้หนีออกจากบ้านมาเพราะไม่ต้องการแต่งงานกับชายหนุ่มที่บิดาเลือกให้
อ้ายจำเรียนฟังเรื่องราวของคำแก้วแล้วก็รู้สึกเห็นใจเป็นอย่างมาก เขาจึงอาสารจะช่วยพาคำแก้วกลับบ้านเกิดของนาง
ทั้งสองเดินทางไปด้วยกันหลายวัน จนกระทั่งถึงหมู่บ้านของคำแก้ว ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านต่างดีใจที่ได้พบคำแก้วอีกครั้ง และเมื่อได้รู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว ผู้ใหญ่บ้านก็อนุญาตให้อ้ายจำเรียนแต่งงานกับคำแก้ว
อ้ายจำเรียนและคำแก้วใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข พวกเขามีลูกด้วยกันหลายคน และครอบครัวของพวกเขาก็เป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน
-----
Q116
นิทานเรื่องพบรักในป่าไผ่
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีชายหนุ่มชื่ออ้ายจำเรียน เขาเป็นชายหนุ่มรูปงามและขยันขันแข็ง วันหนึ่งขณะที่อ้ายจำเรียนกำลังหาหน่อไม้ในป่าไผ่ เขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้ เขาเดินตามเสียงไปจนพบหญิงสาวนางหนึ่งนั่งร้องไห้โฮอยู่ใต้ต้นไผ่
อ้ายจำเรียนเข้าไปถามไถ่หญิงสาวจึงได้รู้ว่า นางชื่อคำแก้ว นางเป็นลูกสาวของเศรษฐีในหมู่บ้านข้างเคียง นางหนีออกมาจากบ้านเพราะไม่ต้องการแต่งงานกับชายที่บิดาเลือกให้ อ้ายจำเรียนเกิดความสงสารคำแก้ว จึงพานางกลับไปที่กระท่อมของตนและดูแลนางเป็นอย่างดี
อ้ายจำเรียนและคำแก้วอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข พวกเขาช่วยกันทำงานหาเลี้ยงชีพ และคอยดูแลซึ่งกันและกัน วันเวลาผ่านไป ความผูกพันระหว่างทั้งสองก็ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น จนกลายเป็นความรักที่ลึกซึ้ง
อยู่มาวันหนึ่ง บิดาของคำแก้วตามมาพบตัวนางที่กระท่อมของอ้ายจำเรียน บิดาของคำแก้วโกรธมากที่ลูกสาวหนีตามชายหนุ่มยากจน แต่เมื่อเห็นความรักและความผูกพันของทั้งสองแล้ว บิดาของคำแก้วก็ใจอ่อน ยินยอมให้ทั้งสองแต่งงานกัน
อ้ายจำเรียนและคำแก้วจึงได้แต่งงานกันและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป
-----
Q117
นิทานเรื่องตอกเสาเข็มในป่าอ้อย
ในป่าอ้อยอันกว้างใหญ่ไพศาล มีชายหนุ่มนามว่า "อ้ายจำเรียน" เป็นคนขยันขันแข็งและมีฝีมือในการตอกเสาเข็มเป็นเลิศ วันหนึ่ง ขณะที่อ้ายจำเรียนกำลังตอกเสาเข็มอยู่ในป่าอ้อยอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากทางด้านหลัง
อ้ายจำเรียนหันกลับไปดูก็พบว่ามีเฒ่าชราคนหนึ่งกำลังวิ่งไล่ตามควายตัวหนึ่งที่หลุดออกมาจากคอก เฒ่าชรานั้นวิ่งตามควายไปจนเหนื่อยหอบ แต่ก็ไม่สามารถจับควายได้ทัน อ้ายจำเรียนเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วย
อ้ายจำเรียนใช้ฝีมือการตอกเสาเข็มของตนจับควายตัวนั้นไว้ได้อย่างรวดเร็ว เฒ่าชราดีใจมาก รีบเข้ามาขอบคุณอ้ายจำเรียนและถามว่า "เจ้าหนุ่ม เจ้าชื่ออะไร"
"ข้าพเจ้าชื่ออ้ายจำเรียนเจ้าค่ะ" อ้ายจำเรียนตอบ
"ขอบใจเจ้ามากนะอ้ายจำเรียน เจ้าช่วยชีวิตควายของข้าไว้ ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างไรดี" เฒ่าชราถาม
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าพเจ้าช่วยเจ้าก็เพราะเห็นแก่ความเดือดร้อนของเจ้า ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใดๆ" อ้ายจำเรียนตอบ
เฒ่าชราเห็นความใจดีของอ้ายจำเรียนก็ยิ่งชื่นชม จึงกล่าวว่า "เช่นนั้น เจ้าจงขอพรจากข้าเถิด ข้าจะทำให้เจ้าสมปรารถนา"
อ้ายจำเรียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า "ข้าพเจ้าขอพรให้ข้าพเจ้ามีฝีมือในการตอกเสาเข็มที่เก่งกล้าที่สุดในแผ่นดินเจ้าค่ะ"
เฒ่าชราพยักหน้าแล้วกล่าวว่า "พรของเจ้าสมปรารถนาแล้ว"
จากนั้นเฒ่าชราก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว อ้ายจำเรียนรู้สึกแปลกใจมาก แต่ก็ดีใจที่ตนเองได้รับพรจากเฒ่าชรา หลังจากนั้น อ้ายจำเรียนก็กลับไปตอกเสาเข็มต่อ แต่คราวนี้ฝีมือของเขาเก่งกล้าขึ้นอย่างมาก
อ้ายจำเรียนตอกเสาเข็มได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วแผ่นดิน ชาวบ้านต่างพากันมาขอให้อ้ายจำเรียนช่วยตอกเสาเข็มให้ และอ้ายจำเรียนก็ไม่เคยปฏิเสธใครเลย
อ้ายจำเรียนใช้ฝีมือการตอกเสาเข็มของตนช่วยเหลือผู้คนมากมาย และยังสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองอีกด้วย จนกระทั่งกลายเป็นช่างตอกเสาเข็มที่มีชื่อเสียงที่สุดในแผ่นดิน
-----
Q118
นิทานเรื่องป่าอ้อยอันตราย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กสาวคนหนึ่งชื่ออ้ายเรียน เธอเป็นเด็กที่ขยันและฉลาดมาก วันหนึ่งเธออยากเข้าไปในป่าอ้อย เธอจึงขออนุญาตจากพ่อแม่ของเธอ
พ่อแม่ของเธออนุญาตให้เธอไป แต่เตือนเธอว่าให้ระวังอันตรายในป่า อ้ายเรียนรับปากและออกเดินทางไปยังป่าอ้อย
เมื่อเธอเข้าไปในป่า เธอพบว่ามันใหญ่และหนาทึบมาก เธอเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหลงทาง เธอเริ่มกลัวและร้องไห้
ขณะที่เธอกำลังร้องไห้อยู่ เธอได้ยินเสียงฝีเท้า เธอหันไปมองและเห็นชายชราคนหนึ่งกำลังเดินมาหาเธอ
ชายชราถามเธอว่าทำไมเธอถึงร้องไห้ อ้ายเรียนจึงเล่าเรื่องที่เธอหลงทางให้ชายชราฟัง ชายชราจึงพาเธอออกจากป่า
อ้ายเรียนขอบคุณชายชราและกลับบ้านอย่างปลอดภัย เธอได้เรียนรู้ว่าไม่ควรเข้าไปในป่าคนเดียวและควรฟังคำเตือนของพ่อแม่
-----
Q119
นิทานเรื่องตะปูเบอร์59
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อจำเรียน เขาเป็นคนขี้ลืมมาก วันหนึ่งเขาไปที่ร้านขายของชำเพื่อซื้อตะปู แต่เขาลืมเบอร์ตะปูที่เขาต้องการ
เมื่อไปถึงร้าน จำเรียนก็ถามคนขายว่า "ขอซื้อตะปูหน่อยครับ"
คนขายถามว่า "เบอร์อะไรครับ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมไปแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไป
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปู คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้ จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน
อร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร้านขายของชำเพื่อเปลี่ยนตะปูอีก คนขายเห็นจำเรียนก็จำได้อีก จึงถามว่า "เป็นอะไรไปอีกล่ะ"
จำเรียนตอบว่า "ผมลืมเบอร์ตะปูที่ผมต้องการอีกแล้วครับ"
คนขายจึงหยิบตะปูเบอร์ 59 ให้จำเรียนไปอีก
จำเรียนรับตะปูมาแล้วก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็หยิบตะปูออกมาดู แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "โอ้โห! นี่ไม่ใช่เบอร์ที่ฉันต้องการอีกแล้วนี่นา"
จำเรียนจึงรีบกลับไปที่ร
นิทานเรื่องพบรักที่โรงเรียน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กชายสองคนชื่ออ้ายและจำเรียน ทั้งสองเป็นเพื่อนซี้กันตั้งแต่สมัยเรียนประถม พวกเขาสนิทกันมาก เล่นด้วยกันทุกวัน และแบ่งปันความลับของกันและกัน
วันหนึ่ง ขณะที่ทั้งสองกำลังเล่นซ่อนหากันในป่าหลังบ้าน อ้ายก็ได้ยินเสียงแปลกๆ เขาลองฟังดูดีๆ และก็รู้ว่ามันเป็นเสียงร้องไห้ของเด็กผู้หญิง
อ้ายรีบวิ่งไปตามเสียงนั้น และก็พบเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ นั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ อ้ายถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น และเธอก็บอกว่าเธอหลงทางกลับบ้าน
อ้ายรู้สึกสงสารเธอมาก เขาจึงตัดสินใจช่วยเธอหาทางกลับบ้าน ทั้งสองเดินไปด้วยกันเป็นเวลานาน จนกระทั่งในที่สุดก็มาถึงบ้านของเด็กผู้หญิง
เด็กผู้หญิงดีใจมาก เธอขอบคุณอ้ายที่ช่วยเธอ และเชิญเขาเข้าไปในบ้านเพื่อดื่มน้ำและกินขนม
อ้ายได้พบกับพ่อแม่ของเด็กผู้หญิง และพวกเขาก็ขอบคุณอ้ายที่ช่วยลูกสาวของพวกเขา พวกเขาชวนอ้ายให้มาเล่นที่บ้านอีก และอ้ายก็รับปาก
หลังจากวันนั้น อ้ายและจำเรียนก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน พวกเขามักจะไปเล่นที่บ้านของเด็กผู้หญิง และกลายเป็นเพื่อนกับเธอด้วย
ทั้งสามคนเติบโตมาด้วยกัน และกลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดตลอดไป
-----
Q121
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น